วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน : ประวัติ ตอนที่ ๒๗ อุปัฏฐากองค์หลวงปู่มั่นยามอาพาธ

เทศน์เมื่อ  ๒๙  ตุลาคม  ๒๕๔๓



          วันนี้หลวงตารู้สึกมีความซาบซึ้งมากทีเดียว  เมื่อได้เห็นเตียงนอนและแคร่  ตลอดถึงมุ้ง  ได้ประทับใจอย่างมากทีเดียว  เพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านมาพักอยู่นี้  ถ้าพูดถึงการอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่าน  แต่กรุณาทราบไว้นะ  กิเลสมันจะมาแย้งมาขัด  เอาส่วนชั่วยัดใส่หัวใจเราแล้วเอาที่ว่าดี  คือมูตร  คือคูถ  นั้นไปยัดหัวใจทั่วโลกดินแดนว่าไม่ยอมเชื่อ  นี่สำคัญ  กิเลสจะไม่ยอมเชื่อ  แต่เราขอพูดตามหลักธรรม   ธรรม คือ ความจริ  ใครจะเชื่อก็ตาม  ไม่เชื่อก็ตาม   ธรรม คือ ธรรม   ความจริง คือ ความจริง   เราจึงได้กล้าประกาศตามหลักความจริงที่ได้ปฏิบัติต่อองค์ท่านมาจนถึงวาระสุดท้าย

          สรุปความลงมาก็คือ  เวลาที่มาพักอยู่บ้านหนองผือนี่  อาการของท่านหนักเข้าทุกทีๆ  การอุปัฏฐากรักษาบำรุงด้วยความเทิดทูนท่านนั้น  เราจึงไม่กล้าให้ผู้หนึ่งผู้ใด  พระองค์หนึ่งองค์ใดเข้าไปยุ่มย่ามในมุ้งของท่าน  แม้ที่สุดเวลาท่านถ่ายหนักก็ดี  ถ่ายเบาก็ดี  เราจะเป็นผู้รองรับทุกสิ่งทุกอย่างโดยลำพังของเรากับท่านเท่านั้น  ไม่ให้ใครไปเห็นอากับกิริยามารยาทของท่าน  ภายในร่างกายของท่านเลย  นี่ด้วยความเทิดทูน  ด้วยความรัก  ด้วยความสงวนอากับกิริยาอวัยวะทุกส่วนของท่าน  ไม่ให้หูตากิเลสทั้งหลายเข้าไปยุ่มย่าม  โดยมันจะยกเรื่องมูตรเรื่องคูถเข้าไปทับถมโจมตีหลวงปู่มั่น  แล้วก็กว้านเข้ามาเผาหัวใจตนเองโดยไม่รู้สึกตัวนั้นแล

          ด้วยเหตุนี้  คำว่ามุ้งนี้จึงเป็นที่ประทับใจของเราเป็นอย่างยิ่ง  มุ้งนี้สำหรับรักษาท่านเวลากลางคืน  กลางวันไม่ค่อยกางมุ้ง  กลางคืนนั้นแหละยุงเข้าไปรบกวน  เราเท่านั้นที่อยู่ในมุ้งกับท่าน  เวลาท่านถ่ายเบา  เราก็มีกระป๋องเล็กๆ พอดิบพอดีกับการถ้ายเบาของท่าน  โดยเราเป็นผู้จับผู้ถือ  เป็นผู้ดูแลอวัยวะของท่านเป็นพิเศษแต่ผู้เดียว  การถ่ายหนักแต่ก่อนไม่มีถุงพลาสติกอย่างนี้เป็นธรรมดา  พอถ่ายหนักออกมา  เราต้องขออภัย  ยกเอามือนี้กอบเลย  ให้ท่านถ่ายใส่มือของเรา  แล้วก็เทลงกระโถน  ถ่านใส่มือของเราเทลงกระโถนทุกๆ ครั้งไป

          ทั้งการถ่ายหนัก  ทั้งการถ่ายเบา  จะไม่มีใครเข้าไปยุ่งได้เลย  เราแต่ผู้เดียวเท่านั้น  นี่พูดตามหลักความจริง  จึงได้ประกาศให้ทราบในตอนต้นว่า  ให้ระวังกิเลสมันจะขัด  จะแย้ง  จะไม่ยอมเชื่อถือ  จะหาว่าหลวงตาบัวได้โอ้อวดไปนะ  หลวงตาไม่โอ้อวด  พูดตามหลักความจริงได้ปฏิบัติอุปัฏฐากท่านอย่างนี้ตลอดมาตั้งแต่อยู่หนองผือ  ไม่ยอมให้ใครเข้าไปเกี่ยวข้องอวัยวะของท่านเลย  เฉพาะการถ่านหนักกับการถ่ายเบานี้  เราต้องเป็นผู้ทำหน้าที่แต่ผู้เดียว  ด้วยความเคารพเลื่อมใส  ด้วยความรัก  ความสงวนทุกด้านทุกทาง  ไม่ให้ใครเข้าไปคิดในแง่ต่างๆ  ซึ่งส่วนมากเป็นอกุศล  เราถึงต้องทำหน้าที่โดยเฉพาะ  พอเสร็จแล้วยื่นออกมาๆ  พระที่อยุ๋รอบมุ้งข้างอกก็รับเอาไปๆ ทันทีๆ

          เราจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว    เช็ดล้างทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว  ปิดอวัยวะทุกส่วนแล้ว  เราถึงจะเปิดตัวของเราออกมาให้ผู้ใดก็ตามได้เห็นองค์ท่าน  เวลานั้นเราจะไม่ให้ใครเห็นเลย  เอาผ้าคลุมไว้ข้างนอกหมด  จะมีแต่เราคนเดียวทำหน้าที่แต่ผู้เดียว  ด้วยความถวายชีวิตเลย  จะโง่จะฉลาดขนาดไหน  เราขอถวายชีวิตต่อท่านทุกสัดทุกส่วน  จึงไม่ยอมให้ใครเข้าไปเกี่ยวข้องอวัยวะของท่านเลย  นี่ล่ะการปฏิบัติต่อท่าน  มุ้งนี้ก็มีท่านกับเราเท่านั้นในเวลากลางคืน  จะไม่มีใครเข้าไปยุ่งเลย

          เพราะฉะนั้น  มุ้งนี้จึงเป็นที่ประทับใจอย่างซึ้งที่สุดเลยว่ามุ้งนี้  คือ  มุ้งของพระอรหันต์องค์หนึ่ง  คือ  หลวงปู่มั่น   เราก็พอมีวาสนาบ้างพอประมาณ  ถึงได้เข้าไปอุปัฏฐากรับใช้ท่านทุกสิ่งทุกอย่าง  มอบกายถวายตัวชีวิตจิตใจไม่มีเสียดายเลย

          เวลานั้นเป็นเวลาที่เขาขยะแขยงกันมาก  เรียกว่า  วัณโรค  ท่านเป็นวัณโรค  ใครกลัวกันทั้งนั้นสำหรับวัณโรค  เพราะแก้ไม่ตกด้วยยา  แต่ก่อนไม่มียาแก้  ใครเป็นแล้วหวังตายๆ เลย  เราไม่เคยสนใจกับวัณโรควัณแรกอะไรแหละ  เรามีความมุ่งมั่นขันต่อความเป็นความตายต่อหลวงปู่มั่นองค์เดียวเท่านั้น  เราจึงไม่เคยสนใจกับเรื่องวัณโรคอะไรเลย

          สิ่งที่น่าวิตก  ก็คือ  เวลาท่านป่วยหนัก  กลางคืนมีหนาว  หนาวเพราะตอนนั้นเป็นเดือนพฤศจิกาฯ  เริ่มหนาวแล้ว  ถ้าวันไหนหนาวมาก  วันนั้นท่านจะไอมาก  แล้วมีลำลีใส่กะละมังเข้ามาไว้ในมุ้งนี้เลย  เราจะเอาสำลีนี้พันนิ้วมือ  แล้วเข้าไปกว้านเอาเสลดเสมหะที่ติดอยู่ในคอของท่าน  ขากไม่ออก  เราจะเป็นผู้กว้านออกมาๆ  หน้าเรากับหน้าท่าน  ปากเรากับปากท่าน  คลอเคลียกันอยู่ตลอดเวลา  ไม่สนใจกับวัณโรคนะแรกอะไรแหละ  สนใจต่อหน้าที่นี้เท่านั้น  ไม่เคยสนใจอย่างอื่น  นี่เราปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมา

          ถ้าวันไหนหนาวมาก  บางคืนท่านไม่ได้นอนก็มี  เพราะความไอกวนท่านมากทีเดียว  เราก็ไม่นอนทั้งคืน  สำลีที่เอามามากๆ จนขนาดเกือบหมดๆ ก็มี  เอาพันนิ้วมือนี้กว้านออกๆ  อยู่ตลอดเวลา  เราทำด้วยความถึงใจทุกอย่าง  สำหรับหลวงปู่มั่นแล้ว  เราไม่มีอะไรเหลือแม้เม็ดหินเม็ดทราย  ที่จะเป็นข้อขัดแย้งต่ออรรถต่อธรรม  ต่อจิตใจที่บริสุทธิ์ของท่าน  เรามอบทุกอย่าง

          เพราะฉะนั้นเราจึงภูมิใจว่า  เราได้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้งองค์  นับว่าพอมีวาสนาอยู่บ้าง  นี่ได้มาอธิบายให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน  สถานที่นี่(วัดป่ากลางโนนภู่  อ.พรรณานิคม  จ.สกลนคร)   ศาลาหลังนี้  แต่ก่อนเหล่านี้เป็นดงทั้งหมดเลยๆ  ศาลานี้อยู่ในดง  แล้วมีทางจงกรมอยู่ที่นี่  ทางจงกรมของเรา (ข้างๆ ศาลา)  เวลาท่านงีบหลับไปเพียงเล็กน้อย  เราก็ได้สั่งเสียพระเอาไว้ว่า  ผมจะออกไปเดินจงกรมอยู่ที่ตรงนั้น  ก็คือตรงนี้แหละตรงนี้  บอกจุดที่หมายเอาไว้

          เพราะตามธรรมดา  เวลาท่านตื่นนอนขึ้นมา  ลืมตาขึ้นมาแล้วท่านมักจะถามเสมอว่า  "ท่านมหาไปไหน"   เราก็แน่ใจว่าท่านจะต้องถาม  เพราะเราอยู่ในมุ้งกับท่านตลอดเวลา  ประหนึ่งว่าพระเณรไม่มี  จะว่าประมาทดูถูกหมู่เพื่อน  เราก็ไม่มีเจตนา  แต่กลัวว่าจะไปเก้งๆ ก้างๆ ทำอะไรขัดหู  ขัดตา  ขัดใจของท่านให้ได้รับความลำบากในเวลาท่านจะละขันธ์ไป  อย่างนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง  จะโง่จะฉลาดอะไรก็ตาม  เราขอถวายท่านทุกสัดทุกส่วนเต็มกำลังความสามารถของเรา  เราจึงได้ปฏิบัติท่านโดยเฉพาะๆ เวลาจำเป็นจริงๆ  ใครเข้าไปยุ่งไม่ได้เลย  มีแต่เรากับท่านเท่านั้น

          เวลาท่านงีบหลับไปเล็กน้อย  ไอไม่กวน  เราก็แนะพระ  เพราะเราก็ต้องขออภัย  ปวดหมดอวัยวะทุกสัดทุกส่วน  เพราะนั่งตลอดเวลาท่านไม่นอน  เราก็ไม่นอนตลอดคืนเลย  ทีนี้พอมีเวลาบ้าง  ท่านหลับงีบไป  ก็สั่งพระ  นี้ผมจะไปเดินจงกรมอยู่ทางสายนี้นะ  อยู่ตรงนี้ล่ะข้างศาลา  อยู่ตรงนี้  มันป่าทั้งหมดนี่  แล้วเวลาท่านตื่นขึ้นมาให้ไปบอกผมที่นั่น  ก็คือที่นี่เอง  พอท่านตื่นนอน  ท่านลืมตาขึ้นแล้ว  ท่านมักจะถามว่า  "ท่านมหาไปไหน"  ท่างนี้ก็รีบมาบอกเรา  เราปั๊บเข้ามุ้งทันทีเลย  เข้ามุ้งทันทีตลอดอย่างนี้เสมอมา  จนกระทั่งท่านไปมรณภาพที่จังหวัดสกลนคร

          เราประทับใจทุกอย่างที่ได้ทำถวายท่าน  ด้วยความรัก  ความเลื่อมใส  ความเทิดทูน  ความสละเป็นสละตายด้วยกัน  สติปัญญามีมากมีน้อยเพียงไร  เราทุ่มมาเพื่อบูชาคุณของท่านทั้งนั้น  ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่กล้าให้พระองค์ใดเข้าไปเกี่ยวข้องอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่าน  เดี๋ยวจะไปเก้งๆ ก้างๆ

          เพราะหลวงปู่มั่น  เรียกว่า  ปราชญ์ในสมัยปัจจุบัน  จะว่าจอมปราชญ์ในสมัยปัจจุบันก็ไม่ผิด  ความฉลาดแหลมคมทั้งภายนอกภายใน  เท่าที่เราได้ผ่านมาในบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายแล้ว  ไม่เคยเห็นองค์ใดจะเหมือนหลวงปู่มั่นนี้เลย  เรื่องความฉลาดทั้งภายนอกภายใน  รอบคอบตลอดทั่วถึงหมด

          นี่ล่ะเราจึงวิตกวิจารณ์เกี่ยวกับพระเณรที่จะเข้าไปอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านเต็มกำลังความสามารถ  ก็ดังที่เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบนี้แล  เราใช้สติปัญญาสุดขึดสุดแดนที่จะปฏิบัติต่อท่าน  ก็รู้สึกว่าท่านจะเมตตา  หรือท่านให้อภัยพระโง่ก็อาจเป็นได้  ท่านก็ไม่เคยตำหนิติเตียนเราให้ได้ยินเลยว่า  ท่านมหามาดูแลปฏิบัติผมนี้เก้งๆ ก้างๆ ก็ไม่เคยได้ยิน  นี่ล่ะเราภูมิใจอันนี้

          แล้วขอย้อนให้พี่น้องทั้งหลายทราบด้วยว่า  ในขณะที่นำท่านออกมาปฏิบัติรักษาอยู่เวลานั้น  ใจของหลวงตาเองเป็นใจที่หมุนติ้งตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน  เรียกว่า  ใจเป็นธรรมจักไม่มีเวลาที่จะยับยั้งผ่อนคลายในเรื่องความพากเพียรเลย  บางคืนนอนไม่หลับ  เพราะอำนาจแห่งธรรมกับกิเลสฟัดกันบนหัวใจ  ซึ่งเป็นเวทีอันใหญ่หลวงนี้  ไม่ลดละปล่อยวางกันเลย  ความเพียรของเราก็เด็ด  ไม่มีเวล่ำเวลา  แม้อุปัฏฐากท่านอยู่  จิตกับกิเลส  กิเลสกับธรรมก็ฟัดกันอยู่บนหัวใจเป็นอัตโนมัติของตัวเอง

          นี่ล่ะเวลานั้นก็เป็นเวลาที่เราหมุนติ้วเต็มที่  เอ้า ! พูดให้เต็มยศเลยว่า  เป็นจิตที่จะข้ามพ้นจากวัฏสงสารโดยถ่ายเดียวเท่านั้น  ต่างกันแต่เพียงว่าช้าหรือเร็ว  นี่ได้ติดเครื่องขึ้น ๑๓๐-๑๔๐  แล้วเวลานั้น  จิตของเราเป็นจิตธรรมจักร  หมุนติ้วตลอดเวลา

______________________________________

ไม่มีความคิดเห็น: