วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สอนแม่ฝึกหัดปฏิบัติธรรม ตอน 1



วันแม่

วันแม่นั้น                    ใช่มีเพียง                    แค่วันนี้
ใช่วันที่                       มีใครมอบ                   ดอกไม้หอม
ใช่เป็นวัน                   ที่ลูกหลาน                 พร้อมยินยอม
มานอบน้อม              ล้อมหน้าหลัง            ฟังดูดี
แท้ที่จริง                     ทุกวัน                         เป็นวันแม่
วันเหลียวแล              ให้ท่าน                       นั้นสุขศรี
ทั้งกายใจ                    ทำไป                          ด้วยภักดี
เพื่อเป็นที่                   พึ่งพิง                         สิ่งบั้นปลาย
ท่านเลี้ยงเรา              เราเลี้ยงท่าน              นั้นสิ่งถูก
ให้เร่งปลูก                 จิตแทนคุณ                ก่อนจะสาย
อย่าทำตัว                   ลืมตน                         จนน่าอาย
ทำแหนงหน่าย          ร้ายกับท่าน                นั้นไม่ควร
วันที่ท่าน                    อยู่กับเรา                    นั้นไม่มาก
ยามท่านจาก              อย่ามาร้อง                 ทำโหยหวน
เมื่อท่านอยู่                รู้เอาใจ                        ใช่ยียวน
เวลาล้วน                   ไม่ทวนกลับ               ลับลาไป
ท่านเลี้ยงเรา              ให้เติบใหญ่               ใคร่ครวญคิด
แม้ชีวิต                       คิดให้ได้                    อย่าสงสัย
จะเหนื่อยยาก            ลำบาก                       สักปานใด
ไม่แหนงหน่าย          ให้แต่สุข                   ทุกคืนวัน
แม่จ๋าแม่                     ใครรักแท้                  เท่าแม่รัก
ลูกประจักษ์               รักจากแม่                 ไม่แปรผัน
จะดูแล                       ให้แม่สุข                  ทุกคืนวัน
จนถึงวัน                    แม่ลาลับ                  ไม่กลับเอย


                                                                                                ธีรยุทธ   เวชเจริญยิ่ง



คุยกับผู้อ่าน

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ท่านเคยคิดบ้างมั้ยครับว่าเราเรียนหนังสือเพื่ออะไร  บางท่านอาจจะบอกว่าไม่น่าถาม  ก็เรียนเพื่อให้ได้ความรู้นะสิ  ถูกต้องครับ  แล้วเราเรียนเพื่อให้ได้ความรู้ไปเพื่ออะไรครับ  คำตอบก็คือ  ก็เพื่อจะได้ทำงานที่ดี  แล้วทำงานไปเพื่ออะไรครับ  ท่านอย่าเพิ่งหาว่าผมถามยวนๆ กวนๆ นะครับ  ผมถามจริงๆ ไม่ได้กวนเลยครับ  ก็ทุกคนทำงานเพื่อให้ได้เงินใช่มั้ยครับ  แล้วได้เงินมาเพื่ออะไรละครับ  ก็เพื่อเอามาเลี้ยงชีวิตจริงมั้ยครับ  แล้วเงินที่หามาได้ทุกบาททุกสตางค์นำมาเลี้ยงชีวิตส่วนไหนละครับ  ส่วนกายหรือส่วนใจ  ในเมื่อชีวิตเราประกอบไปด้วยกายกับใจ

บางท่านอาจจะตอบว่าส่วนใจ  บางท่านอาจจะตอบทั้งกายทั้งใจ แล้วท่านละครับจะตอบว่าส่วนใด หรือไม่แน่ใจ  แท้ที่จริงเงินที่เราหามาได้ เรานำมาเลี้ยงชีวิตส่วนกายเท่านั้น ส่วนใจเงินเลี้ยงไม่ได้อย่างที่เราคิดเลย

ยกตัวอย่าง  ถ้าเงินเลี้ยงชีวิตส่วนใจให้มีความสุขได้อย่างแท้จริง และทำให้เราไม่ทุกข์ใจเลย นั้นหมายความว่า เศรษฐีมีเงินเป็นหมื่นล้านแสนล้านจะไม่ทุกข์ใจเลย ท่านว่ามันเป็นไปได้มั้ยครับ  ท่านเหล่านั้น  สามาถซื้อเก้าอี้ราคาร้อยล้านบาทมานั่งได้ ถ้านั่งแล้วใจไม่เป็นทุกข์ ท่านสามารถซื้อเตียงนอนราคาพันล้านบาทได้ ถ้านอนแล้วหลับสบายใจไม่เป็นทุกข์

แต่สุดท้ายเงินก็ซื้อความหายทุกข์ไม่ได้เลย  เงินจึงคับแคบเหลือเกิน  ไม่ว่าเราจะมีเงินมากแค่ไหน  มันก็ใช้ได้แค่ชาติเดียวเท่านั้น  ตายแล้วก็หมดกัน เอาติดตัวไปก็ไม่ได้ เห็นมั้ยครับ เงินมันใช้เลี้ยงได้แต่ส่วนกาย มีไว้เพียงแค่ซื้อหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง  และให้เพียงแค่ ความสะดวก สนุก สบายในส่วนกายเท่านั้น

ท่านเคยสังเกตบ้างมั้ยครับ  หากคิดย้อนไปในอดีตตอนสมัยเราเด็กๆ อยากกินสิ่งนี้ก็กินไม่ได้ อยากกินสิ่งนั้นก็กินไม่ได้ อยากกินสิ่งนู้นก็ยิ่งกินไม่ได้ใหญ่เลย ถามว่าทำไม  เพราะว่ามันไม่มีเงินจะซื้อกิน

แต่ตอนนี้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีการมีงานทำ มีเงินทองมากมายพอที่จะซื้ออะไรกินได้ แต่ทำไม สิ่งนี้ก็กินไม่ได้สิ่งนั้นก็กินไม่ได้  ยิ่งสิ่งโน้นยิ่งกินไม่ได้ใหญ่เลย  ถามว่าเพราะอะไร คำตอบก็คือ  หมอห้ามกิน เห็นมั้ยครับ มิใช่เพราะเราบำรุงบำเรอกายมันมากเกินไปหรือเปล่า  จึงเกิดโรคภัย จนหมอห้ามกินไปเสียทุกอย่าง ที่อยากจะกินแต่ก็กินไม่ได้ น่าคิดมั้ยครับ

แท้ที่จริง ใจเขามีอาหารของเขา แต่เราไม่เคยให้เขากิน ถ้าหากใจมันพูดได้ มันคงพูดประท้วงด้วยความน้อยเนื่อต่ำใจว่า

“เธอบอกว่า เธอรักชีวิต ชีวิตเธอ ประกอบด้วยกายกับใจ แต่ทุกวันนี้ เธอดูแลแต่เฉพาะกาย แต่ใจเธอไม่เคยเหลียวแลเลย ไม่ดูแล ไม่เหลียวแล ฉันก็ไม่ว่า แต่อย่าซ้ำเติมใจได้มั้ย"
“เวลาโกรธก็เหมือนเอาน้ำกรดมารถราดหัวใจฉัน”
“เวลาโลภก็เหมือนเอามลทินมาฉาบทาหัวใจฉัน”
“เวลาหลงก็เหมือนเอาม่านบังตามาปิดบังหัวใจฉัน”
“นี่ละหรือที่เธอบอกว่ารักชีวิต  แต่เธอไม่เคยคิดรักทะนุถนอมใจเลย แล้วเธอก็บ่นว่าอยากมีความสุข มันจะสุขไปได้ยังไง  ในเมื่อเอาแต่ทำร้ายทำลายใจอยู่ทุกวี่ ทุกวัน

เป็นยังไงครับ ฟังใจมันบ่นประท้วงแล้ว ท่านว่ามันจริงมั้ยครับ  เมื่อกายมีอาหารหล่อเลี้ยง  ใจก็ต้องการอาหารหล่อเลี้ยงเช่นกัน แล้วอะไรละที่เรียกว่าอาหารใจ อาหารใจมิใช่อื่นไกล  แต่เป็นเรื่องของคุณธรรม  ศึลธรรมและอาหารสุดยอดนั่นคือ  การที่ใจมีสติรู้สึกตัวเป็น รู้สิ่งใดไม่หลงไปยินดียินร้ายกับสิ่งนั้น  รู้แล้วไม่ทำอะไรหลังจากรู้  เพียงค่าเป็นผู้รู้ดู  ผู้สังเกตการณ์  รู้แล้วไม่หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง

ชีวิตจำเป็นต้องมีอาหารหล่เลี้ยง  อาหารเลี้ยงกาย ก็คือ ปัจจัยสี่  ซึ่งมีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค  อาหารใจ  ก็คือ ธรรมมะที่เกิดจากการมีสติสัมปชัญญะเข้าไปรู้กาย รู้ใจตามความเป็นจริงนั่นเอง

คิดว่าทุกท่านคงทำบุญทำทานมาไม่น้อยเช่นกัน การทำบุญตักบาตร การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า การสร้างโบสถ์วิหารลานเจดีย์ ก็เปรียบเสมือนเอาบุญใส่กระบุงแบกไว้ข้างหลัง  หากท่านไม่ก้าวย่างเดินก็มิอาจถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้ การเดินทางก็คือ การเจริญสติรู้กายรู้ใจนั่นเอง

การศึกษาเปรียบเสมือนเป็นแผนที่ในการเดินทาง แต่การปฏิบัติก็เปรียบเสมือนการเดินทาง การปฏิบัติธรรมจึงจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจ  และต้องปฏิบัติเพื่อให้ธรรมะเข้าไปอยู่ที่ใจ จึงจะชัดแจ้งใจ  ไม่หลงใหลงมงาย  การเรียนปริยัติเป็นเพี่ยงแค่การรู้จำ  แต่การปฏิบัติเป็นการรู้จัก  เมื่อรู้จักบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นรู้แจ้ง เมื่อรู้แจ้งบ่อยๆ  ก็จะกลายเป็นรู้จริง และเมื่อรู้จริง ก็จะละความเห็นผิดได้  และละความยึดมั่นในธรรมทั้งปวงจนถึงที่สุด  จิตจะสลัดคืนกายใจให้กับธรรมชาติโดยไม่อาลัยอาวรณ์อีกต่อไป


ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีดวงตาปัญญาเห็นแจ้งในพระธรรม
แสงไฟสว่างทาง  แสงธรรมสว่างใจ

ธีรยุทธ  เวชเจริญยิ่ง
                                                                  ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๐

(จากหนังสือ สอนแม่ฝึกหัดปฏิบัติธรรม โดย ธีรยุทธ  เวชเจริญยิ่ง)

ไม่มีความคิดเห็น: