นี่ที่ติดปัญหาตั้งแต่ขณะนั้นเดือน ๓ เดือน ๖ กลับมา เป็นเวลา ๓ เดือน กลับมาก็ขึ้นที่เก่าอีก แบกปัญหานี้ไป ๓ เดือนกลับลงมา หลังเขานั่นแหละ แต่ที่ติดปัญหาอยู่ทางจงกรมข้างกันนั้นกับด้านตะวันตก ปัญหานี้จบลงก็อยู่บนหลังเขา ในภูเขาลูกเดียวกัน วัดดอยธรรมเจดีย์ บทเวลามันจะม้วนเสื่อกันนั้น มันไม่มีล่ะเรื่องกาล สถานที่เวล่ำเวลา จะมายุ่งไม่ได้นะ มีเฉพาะธรรมชาตินี้ เวลามันจะประมวลลงมา คือ มันไม่มีที่พิจารณาแล้ว อะไรมันก็หมดทุกอย่าง ปล่อยหมดแล้ว ยังเหลืออยู่อันเดียวนี้เท่านั้น โลกธาตุนี้ว่างไปหมด ปล่อยไปหมด วางไปหมดเลย ยังเหลืออันจุดอันต่อมนี้ เห็นไหมล่ะ จึงเรียกว่า มหาภัย อยู่จุดนี้
ทีนี้มันก็ประมวลมาซิที่นี่ อะไรๆ มันก็ไม่มีแล้วจิตใจ ก็มาพิจารณาอยู่จุดนี้ ลงถึงที่ว่า จิตดวงเดียวนี้ทำไมเป็นได้หลายอย่างนักน้า แผ่ทั่วโลกธาตุก็จิตดวงนี้ คือ มันถอนเข้ามาหมดแล้ว มาอยู่จุดเดียวนี้มันก็พูดได้สนิทล่ะซี อะไรๆ มันก็รู้ไปหมดๆ แล้วรู้ไปตรงไหนเปลี่ยนแปลงไปตรงนั้น เดี๋ยวว่าอันนั้นดี อันนี้ชั่ว มันพรรณนามาม้วนเข้ามาๆ จิตดวงเดียวนี้ทำไมจึงเป็นได้หลายอย่างนักหนาน้า ไม่อยู่เป็นสุข มันจับจุดได้นะ มันหากรู้พลิกอย่างนั้น พลิกอย่างนี้ ตามความละเอียดของมัน จับจนได้ๆ ถึงขั้นมันละเอียดพอๆ กัน ขั้นนั้นก็คือมหาสติมหาปัญญานั่นเองจะเป็นอะไรไป มันก็ประมวลเข้ามาๆ จับจุดของจิต กำลังเอาจิตนี้เป็นผู้ต้องหาที่นี่นะ
จิตดวงนี้ทำไม่เป็นได้หลายอย่างนักน้า เดี๋ยวว่าดี แล้วเดี๋ยวว่าชั่ว พลิกออกจากนี้ล่ะ แน่ะมันจับนะที่นี่นะ เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ คือธรรมดาสมมุติถ้ามีอยู่มากน้อย จะมีสิ่งเหล่านี้ประกอบอยู่กับจิตเป็นประจำ ทีนี้มันไม่มีที่พิจารณา มันก็เข้ามาตรงนี้ล่ะซี เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง คือ คำว่าสุข ว่าทุกข์ ว่าผ่องใสเศร้าหมอง มันเป็นพอจับได้เท่านั้นนะไม่ได้มาก พอรู้สึกจับได้ เพราะสติก็เป็นมหาสตินี่ มันก็ทันกันตลอดเวลา มันทำไมถึงเป็นได้หลายอย่างนักจิตนี้
ทีนี้เข้ามาหาผู้ต้องหาล่ะที่นี่ ปล่อยหมดแล้วเข้ามาหาผู้ต้องหามาวินิจฉัย คือ มันวินิจฉัยจริงๆ ว่าอะไรมันถึงกันๆ เพราะมหาสมบัติมหาปัญญาอย่างละเอียดซึมซาบทีเดียว มหาสติมหาปัญญาขั้นสุดยอดกลายเป็นซึมซาบไปเลย ซ่านไปหมดเลย ไม่เป็นวรรคเป็นตอนเหมือนเรายำลาบเหมือนสติปัญญาอัตโนมัตินะ สติปัญญาอัตโนมัติมันเป็นวรรคเป็นตอน มันหมุนของมันไปเอง อันนี้ก็หมุนไปเอง แต่พอถึงขั้นซึมซาบๆ ไปเอง
มันก็มาจับจุดนี้ มาวินิจฉัยตัวจิตนี้ มันหมดที่พิจารณาแล้วอะไรก็ปล่อยหมดแล้วเหลือแต่อันนี้นิดเดียวที่ปรากฏอยู่กับความรู้นั้น มันก็มาวินิจฉัยเหล่านี้ เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ ออกจากอันนี้เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง มันก็ออกจากนี้ ทำไมมันเป็นหลายอย่างนักจิตดวงนี้น่ะ สักเดี๋ยวธรรมท่านก็ผุดขึ้นมา แน่ะอย่างนั้นนะ นี่เรียกว่า ธรรมเกิด กิเลสเกิดเป็นเครื่องผูกมัด ธรรมเกิดเปิดออก นั่นเรียกว่า ธรรมเกิด กิเลสเกิด มันแทรกอยู่ด้วยกัน สักเดี๋ยวขึ้นมาเป็นคำๆ เหมือนเราพูดขึ้นมาเป็นคำๆ
"คำว่าเศร้าหมองก็ดี" นั่นเวลาจะขึ้นนะ "คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าสุขก็ดี คำว่าทุกข์ก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ" นั่นเวลาตัดกันจริงๆ ลงในขั้นอนัตตา ในไตรลักษณ์นี้จะเป็นอะไรขึ้นได้ทั้งนั้น ขึ้นบทสุดท้ายขึ้นได้ไตรลักษณ์นี่ แต่นี้สำหรับนิสัยเราขึ้นบทอนัตตา ปล่อยให้หมด ความหมายว่างั้น ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ คือ ความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี รวมลงมาแล้วเรียกว่าธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตา
พอว่าเป็นอนัตตา จิตมันก็ตั้งจ่อนิ่งเลย เพราะมันลงในอนัตตาแล้วไม่มีที่ไปแล้ว อันนี้เปิดให้หมดหัวอกเลยวันนี้นะ พอเท่านั้นแหละ จิตจะว่าทำงานอะไรอยู่ก็ไม่ใช่ เป็นวางเฉยในธรรมขั้นนี้ ไม่ทำการทำงานอะไรเลย จะไปสนใจกับว่าอัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี หรือสนใจว่าสุขว่าทุกข์ เศร้าหมอง ผ่องใสก็ดี ไม่ไป อยู่จุดศูนย์กลางเฉย เฉยด้วยมหาสติมหาปัญญานะ ไม่ได้เฉยๆ แบบเซ่อๆ ทั้งอ้าปากอย่างพวกเรานะ
นั่นล่ะถ้าเราจะพูดเป็นแบบโลกก็เรียกว่า ปล่อยบทเผลอ แต่นี้มันไม่่ได้เผลอ เป็นแต่เพียงวางเฉยๆ ไว้ มันไม่เผลอไม่ทำอะไร มันก็ผางขึ้นมาเลย อันนี้ก็ว่า อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เรียกว่ามันพรึบคว่ำลงไปเลย ปัดอันนี้ทั้งหมดที่ว่าจุดว่าต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหน นั้นแล คือ ตัวภพ นี่คือตัวนี้ก็มารวมกันแล้ว เศร้าหมองผ่องใสอะไร ลงในอนัตตาอันเดียวผางนี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย
นี่เวลามันลบนะ มันลบหมดเลย ผางขึ้นมานี้เหมือนฟ้าดินถล่มนู่นน่ะ ฟังซิน่ะ กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ อวิชชาตัวเดียวนี่คว่ำลงจากจิตกระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ เพราะอวิชชาตัวนี้พาเที่ยวแดนโลกธาตุนี้คว่ำลงพร้อมกันหมด ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มเลยนะ
ทีนี้พอมันพรึบทีเดียวเท่านั้น อันนี้ไม่ได้มีอันใดที่จะเข้าไปตัดสิน หลักธรรมชาติตัดสินเองเป็นเองขึ้นมา ฟ้าดินถล่มก็เป็นเองทั้งนั้นเลย ไม่ได้มีอะไรตั้งสติสตังตอบรับกันเลย เป็นลักษณะกลางๆ ขึ้นมาผางทีเดียวนี้ เหมือนกันกับว่าโลกธาตุนี้คว่ำหมดเลย พรึบทีเดียวหมดเลย ทีนี้จ้าเลยที่นี่
อู๋ย ! อัศจรรย์จริงๆ นี่เห็นไหม ขันธ์ทำงาน พี่น้องทั้งหลายดูเอา ความอัศจรรย์ที่มาสอนโลกเวลานี้พิลึกพิลั่น แหม ! ดูซิน้ำตานี่พังเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังพังเห็นไหม นี่ล่ะขันธ์ทำงาน ธรรมชาตินั้นำม่มีเข้าใจไหม นี่ล่ะผางเท่านี้ โถ ! อัศจรรย์จริงๆ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง อย่ากถามผู้มันนอนตายอยู่นี้ว่างั้นนะ โอ๊ย ! อัศจรรย์จริงๆ แหม ! น้ำตานี้พังพรากๆๆ โถๆ ขึ้นมาเลยเทียวนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ล่ะหรือๆๆ ย้ำอยู่นั่นน่ะธรรมแท้เป็นอย่างนี้ล่ะหรือๆ ไม่เคยคาดเคยคิดนะมันผางขึ้นมา อู๊ย! อัศจรรย์พูดไม่ถูก คิดดูซิเดี๋ยวนี้ยังเป็น มันสดๆ ร้อนๆ ทำไมเป็นไม่ได้วะ
จากนั้นแล้วมีตั้งแต่ความอัศจรรย์ เรียกว่า กายนี้ไหวเลยเทียวนะ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้แหละ เป็นพร้อมกันหมดเลยเวลานั้น ฟ้าดินถล่ม แดนโลกธาตุดับพรึบลงหมดเลย จากนั้นก็ย้ำทีเดียวว่า เหอ ! พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ล่ะเหรอ ถามท่านหาอะไร มันเจออยู่นั้นแล้วจะว่าไง พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ล่ะเหรอๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ล่ะเหรอๆ รวมเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว เรียกว่า ธรรมอัศจรรย์เลิศเลอ หรือว่า ธรรมธาตุแล้วเท่านั้น
เหอ ! พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง แต่ก่อนเราเคยคิดเมื่อไรว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันน่ะ พุทโธก็พุทโธ ธัมโมก็ธัมโม สังโฆก็สังโฆ ติดหัวใจมาตั้งแต่รู้เดียงสาแล้วมาจ้าขึ้นเวลานั้นแล้ว ธรรมชาติอันนี้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นอันเดียวกันแล้วนะนั่น โอ้โห ! เป็นอย่างนี้เหรอ ธรรมอัศจรรย์ นั่น
________________________________________
องค์หลวงตาบรรลุธรรม
คำว่า นิพฺพานํ คือ ธรรมธาตุ จิตเป็นธรรมธาตุ จิตเป็นธาตุ ธาตุเป็นจิต เรียกว่าเป็นธรรมธาตุแล้ว หาอะไรอีก หมดโดยสิ้นเชิง นี่ล่ะการปฏิบัติมาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตาย ก็มาเป็นในคืนวันนั้นล่ะ เป็นที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร เวลา ๕ ทุ่ม วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นี่ล่ะกิเลสได้ขาดสะบั้นลงจากใจตั้งแต่บัดนั้นมา เราจึงไม่เคยลืมบุญลืมคุณของวัดดอยธรรมเจดีย์นะ คุณอันนี้ฝังลึกมากทีเดียว เราระลึกย้อนหลังไปหาพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ในต้นโพธิ์ใหญ่ ได้ถือต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพระพุทธศาสนา เพราะพระองค์ทรงเห็นบุญเห็นคุณของต้นโพธิ์ใหญ่นั้น นี่ก็เห็นบุญเห็นคุณของธรรมกองใหญ่ ธรรมธาตุขึ้นในที่นั่น จึงไม่มีวันลืมเลย ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ ทุกคนให้จำเอาไว้
๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
________________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น