ทีนี้เวลาปฏิบัติเข้าไป ก็ไปเจอเอาอย่างนั้น จิตประภัสสร นี่คือ จิตอวิชชา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ถูกตัดไปหมดแล้ว ตาก็สักแต่าว่าเห็นเท่านั้น หูก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่สามารถที่จะซึมซาบเอาความดี ความชั่ว ความรัก ความชัง เข้าไปฝันในจิตใจได้เหมือนอย่างแต่ก่อนเลยนั่น นี่ล่ะทางเดินของอวิชชามันออกไม่ได้พูดง่ายๆ เพราะถูกตัดไปหมดแล้ว... รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กับจิต ก็ขาดออกจากกันให้เห็นชัดๆ... ปล่อยของมันเอง ไม่ยึดโดยหลักธรรมชาติ รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนั้น... แต่จิตกับอวิชชานี้มันประสานกัน เราไม่รู้นะ นี่สำคัญมากที่สุด นี่ล่ะที่ว่าประภัสสร... ถ้าว่าจิตผ่องใสจริงๆ แล้วจะเกิดทำไม ก็มันผ่องใส มันไม่ใช่บริสุทธิ์นี่ !... พอเข้าภาคปฏิบัติแล้วก็ยอมรับเลย... อ๋อ ! เป็นอย่างนี้เอง มันยังไม่บริสุทธิ์นี่...
พอได้ปล่อยนี้ออกหมดโดยประการทั้งปวงแล้วเท่านั้น ที่นี่บรมสุขๆ ถามหาที่ไหน ดูหัวใจเจ้าของที่บริสุทธิ์นั้นเท่านั้นก็รู้แล้ว จะไปถามหานิพพานที่ไหน ถ้าไม่ใช่บ้านิพพานน่ะ แล้วนิพพานวัดผ่าศูนย์กลางยาวเท่านั้น ยาวเท่านี้ ลึกเท่านั้นเท่านี้ มันบ้าทั้งนั้นแหละ ไปผ่าศูนย์กลางที่ไหน ดูหัวใจเจ้าของที่บริสุทธิ์แล้ว มันมีศูนย์กลางที่ตรงไหน ศูนย์ชอบที่ตรงไหน ศูนย์กลางที่ตรงไหน ถ้าไม่ใช่บ้าเท่านั้นให้มันเห็นชัดๆ อย่างนี้ซิ ยันได้เลย
มาถึงขั้นนี้แล้ว มีความรู้อันเดียวเท่านั้น เป็นตัวสมุทัยหมดทั้งดวง เมื่อประจักษ์ใจด้วยปัญญาถึงขนาดนี้แล้ว ใครจะยอมถือตัวผู้รู้ซึ่งเป็นกงจักรนี้ว่าเป็นตนเล่า นี่คือ ปัญญาขั้นละเอียด และ ปัญญาขั้นอัตโนมัติในหลักธรรมชาติ... นอกจากรู้วัฏจิตอินเป็นตัวสมุทัยแล้วยังพิจารณาย้อนเข้าไปว่า เป็นเพราะเหตุใดจึงเป็นสมุทัย และเป็นได้อย่างไร ตามคิดค้นเข้าไปตามสาเหตุที่มี และแสดงตัวให้ปรากฏอยู่ด้วยความสนใจใคร่จะรู้ในสาเหตุนั้น แต่โดยมากเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าไม่ใข้ปัญญาไตร่ตรองจนละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ ต้องติดในความรู้วัฏจักรนี้แน่ๆ เพราะเป็นยอดสมุทัยของวัฏจักรซึ่งควรหลงและติดได้ โดยนักปฏิบัติไม่รู้สึกตนว่าติด นอกจากจะหลงและติดอยู่โดยไม่รู้สึกตัวแล้ว ยังอาจจะระบายความหลงอันลึกลับนี้ ออกเป็นความรู้โดยเข้าใจผิดของตน ให้ผู้อื่นฟัง และหลงตามกันไปเป็นจำนวนมาก
ความว่าง ความสุข ความใส นั่นแลเป็นธรรมปิดบังตัวเอง เพราะธรรมทั้งนี้ คือ เครื่องหมายของภพชาติ ผู้ต้องการตัดภพชาติ จึงควรพิจารณาให้รู้เท่าและปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ อย่าหวงไว้เพื่อก่อไฟเผาตัว ถ้าปัญญาขุดค้นลงตรงที่สามจอมกษัตริย์แห่งภพปรากฏอยู่ นั้นแลจะถูกองค์การใหญ่ของภพชาติ และจะขาดกระเด็นออกจากใจทันที ที่ปัญญาหยั่งลงถึงฐานของเขาตั้งอยู่
เมื่อสิ่งทั้งนี้สิ้นไปแล้ว เพราะอำนาจของปัญญา นั้นแลเป็นความว่างอันหนึ่ง เครื่องหมายของสมมุติใดๆ จะไม่ปรากฏในความว่างนั้นเลย นี่คือความว่าที่ผิดกับความว่างที่ผ่านมาแล้ว ความว่างประเภทนี้ เราจะว่าเป็นความว่างของพระพุทธเจ้า หรือความว่างของใครนั้น ผู้แสดงไม่สามารถจะเรียนให้ทราบได้ว่า ควรจะเป็นความว่างของใคร นอกจากจะเป็นความว่างที่รู้เห็นกันอยู่ด้วยสันทิฏฐิโกของผู้บำเพ็ญเท่านั้น ความว่างอันนี้ไม่มีกาลสมัย เป็ฯอกาลิโกอยู่ตลอดกาล
ทีนี้พอเราฝึกซ้อมจิตใจของเราให้สติสตังดี ความเพียรดีแล้วเข้าไปถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว กิเลสขาดสะบั้นๆ มันแก้กันอย่างนั้น เห็นอยู่ในหัวใจของเรา ยิ่งเป็นมหาสติมหาปัญญาด้วยแล้ว กิเลสมองดูแทบไม่มีนะ มันว่างไปหมด แทบไม่มี แต่ดีที่ไม่เคยสำคัญตนว่า ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ทั้งๆ ที่กิเลสส่วนละเอียดยังมีอยู่ ไม่เคยสำคัญ ถ้ามีอยู่ละเอียดก็ยอมรับว่ามี มีอยู่นั้น
บางทีถึงได้คิดขึ้นมาว่า "หือ ! มันเป็นยังไง กิเลสมันม้วนเสื่อไปหมดแล้วเหรอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ" ว่าเฉยๆ แต่ยังไม่สำคัญตนว่าเป็นอรหันต์น้อย เพราะตอนนั้นมันว่างกิเลสไม่โผล่ อำนาจของสติปัญญามันรุนแรง จากนั้นพอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจริงๆ แล้ว สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดมาพร้อมกันเลย ทีนี้อรหันต์น้อย อรหันต์ใหญ่ ไม่ถามถึงเลย อรหันต์น้อยก็ไม่มี อรหันต์ใหญ่ก็ไม่มี มีแต่ สนฺทิฏฺฐิโกขั้นสุดยอดในจิต นั่นล่ะบริสุทธิ์แล้วเป็นธรรมธาตุ ผางขึ้นมาทีเดียวหมดเลย
สันทิฏฐิโกขันสุดยอดพอถึงขั้นนี้แล้ว สติปัญญาที่ว่าหมุนตัวเป็นธรรมจักรนี้ระงับลงเอง ไม่ต้องไปบีบไปบังคับว่า ให้หยุดได้ความพากเพียรประเภทอัตโนมัติเป็นธรรมจักรนี้ให้หยุดได้ ไม่ต้องบอกก็ความเพียรอันนี้ที่ว่าสติปัญญาอัตโนมัติ มันก็เป็นมรรคเครื่องฆ่ากิเลส เมื่อฆ่ากิเลสสิ้นซากไปไม่มีอะไรเหลือแล้ว จะไปฆ่าอะไร มันก็ปล่อยเอง
_________________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น