พ่อแม่ครูอาจารย์ (องค์หลวงปู่มั่น) มรณภาพ (คืนวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒) เราเห็นด้วยตาของเรา น้ำตานี้พังเลยนะก็พ่อแม่ครูอาจารย์ แหม ! น้ำตาพังเลยนะเรา มันบอกว่า หมดที่พึ่ง ความหมายว่าอย่างนั้น ทั้งบุญทั้งคุณท่านอยู่ในนี้หมดเลย แล้ววาระนี้เป็นวาระที่ท่านจะจากไป ทั้งเช้า ทั้งสาย ทั้งบ่าย ทั้งเย็นทุกเวลา เราขึ้นหาท่าน เพราะตอนนั้นธรรมะนี้ หัวใจเรามันหมุนเป็นธรรมจักรมันไม่ได้อยู่นะ
จึงได้บอกว่า ท่านเพียบทางธาตุขันธ์ เราเพียบทางด้านจิตใจ ทางธาตุขันธ์ก็อ่อนลงๆ ธาตุขัน์ท่าน ทางหัวใจเรากับกิเลสมันก็ฟัดกันตลอดเวลา บางคืนไม่ได้นอนตลอดรุ่งเลย ต่างคนต่างเพียบ เราเพียบทางด้านจิตใจ แต่ก็สละ เหมือนไม่มีงานอะไรนะ เวลาอยู่กับท่านทำงาน แต่จิตกับกิเลสมันฟัดกัน มันก็ฟัดอยู่ภายใน งานก็ทำไปๆ นี่ล่ะกิเลสกับธรรมเวลามันแก่กันโดยอัตโนมัติมันเป็นเองนะ ไม่ได้บังคับ มันหากเป็นของมันหมุุนอยู่ภายใน ทางเราทำงาน เราก็ทำไป ทางนี้ก็หมุนอยู่ภายใน นี่ล่ะที่ธรรมะทำงานฆ่ากิเลส เหมือนกิเลสมันทำงานฆ่าอรรถฆ่าธรรมในหัวใจสัตว์โลก มันก็เป็นของมันอย่างนั้น แต่เวลาธรรมะมีกำลังแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้นอีกเหมือนกัน
ท่านมรณภาพแล้วหมดเลย น้ำตาพังเลยเรา หมดแล้วที่พึ่งของเรา เข้าหาท่านตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนเย็น ท่านไม่เคยว่าเลยล่ะกับเรา ไม่มีที่ท่านจะว่าคำนั้นคำนี้ต่อเรา ตั้งแต่ไปอยู่กับท่านมาจนกระทั่งท่านมรณภาพ ท่านไม่เคยดุเรา ไม่เคยว่าทำไม เคยมีนะ จนกระทั่งวาระสุดท้าย นี่ล่ะที่มันน้ำตาพัง คุณของท่านอยู่ในนี้หมด อยู่ในหัวใจเรา พอท่านสิ้นลงแล้วเลยนั่งอยู่นั้นน่ะ นั่งรำพังนั่งเหมือนหัวตอนะ แต่จิตมันหมุนของมัน
เออ ! ธรรมะเวลานี้เป็นธรรมะเข้าด้ายเข้าเข็ม ใครจะมาสอนเราส่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ นอกจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเท่านั้น พอขึ้นไป ท่านนอนยู่ก็ตามนะ ไม่เคยมีที่ว่าท่านห้ามเราหรือตำหนิเราว่าขึ้นมาหาอะไร ไม่เคยมี ท่านนอนอยู่องค์เดียว ขึ้นปั๊บๆ กราบที่เท้าท่าน เราก็ทราบแล้วว่า ท่านไม่ได้หลับ ท่านนอนสงบเฉยๆ เราขึ้นไปก็กราบเรียนให้ท่านฟัง ท่านฟัง ท่านก็นอนนิ่ง จิตของเราเป็นอย่างนั้นๆ เวลานี้ เพราะจิตอันนี้เป็นจิตสติปัญญาอัตโนมัติฟัดกับกิเลสไม่มีเวล่ำเวลา ใครมาแก้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ต้องเป็นช้างประจำควาญ ประจำควาญจริงๆ
ที่นี้พอเราพูดจบลงแล้วนิ่ง ท่านนอนอยู่นะ แทนที่ท่านจะนอนพูดกับเราไม่นะ เวลาท่านลุกนี้แต่ก่อนได้พยุงนะ เวลาท่านลุกขึ้นจะตอบธรรมะเราปุ๊บปั๊บ นั่นเห็นไหมล่ะ พลังจิตพลังเมตตา ปุ๊บปั๊บนั่งเอาฟังนะ คือเรากราบถวายหมดแล้วที่เป็นข้อข้องใจ ท่านก็ว่า "เอา ! ฟัง" ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆๆ "เข้าใจหรือยัง" ถ้าเรายังนิ่งอยู่ ท่านย้ำอีกนะ คือนิ่งนั่นแสดงว่ายังไม่เข้าใจนัก แต่พอเราเข้าใจแล้ว เรากราบท่านปั๊บๆ ท่านก็ล้มตูมนอนเลย บางวันถึงสองครั้งสามครังก็มี
ท่านไม่เคยคัดค้าน ไม่เคยดุเคยด่าเรมที่ขึ้นหาท่าน เพราะท่านเห็นหัวใจเราในตอนนั้นจะไม่ฟังเสียงใคร หัวใจเราอยู่กับท่านเท่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาท่านจะพูด ท่านจึงปึ๊บทันทีเลย พอจบแล้วเรากราบปั๊บๆ ท่านล้มนอนปั๊บไปเลย ไปหาท่านเวลาไหนไม่เคยมีที่ท่านจะห้ามเราหรือดูเรา ไม่มี เพราะท่านรู้ความจำเป็นของเรา เวลาจิตกับธรรมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วเป็นอย่างนั้น มันจะหมุนของมันตลอดเวลา แล้วใครมาแก้ก็ไม่ได้ ถ้าแก้ไม่ถูกช่องถูกทางมันดูถูกเอา หือ! ความรู้ขนาดนี้มาแก้เราไม่ได้ นั่นมันจะดูถูก นอกจากไม่ได้รับประโยชน์อะไรแล้วยังดูถูกอีก
แต่สำหรับท่านผู้ที่ผ่านไปแล้วพอเราเล่าถวายปั๊บๆ ใส่ปั๊วะๆ อันนี้ตกพังๆ เลย "เข้าใจหรือยัง" ถ้ายังไม่สนิทใจ เราก็นิ่ง ท่านซ้ำอีก พอเราสนิทใจแล้วกราบปั๊บ ท่านล้มปั๊บนอนลงเลย เป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าเข้าใจแล้วก็กราบเป็นการแสดงชัดเจนว่าเข้าใจแล้ว เข้าใจปัญหาท่านที่ตอบมา ท่านก็นอนปั๊บ การเมตตาสงสารทางด้านอรรถธรรมนี้ ท่านจะหนักขนาดไหนก็ตาม เราก็หนักของเราเต็มที่ในหัวใจนะ ท่านเห็นใจเรามากกว่าเห็นใจท่าน เห็นธาตุขันธ์ท่านไม่ได้มากเท่าเรา พอเราขึ้นไปกราบเรียนท่าน ท่านจะลุกปุ๊บปั๊บ ธรรมดาได้พยุงนะ เวลาท่านลุกขึ้นมาตอบธรรมะกับเราไม่ได้พยุง ไส่ปั๊วะๆ เลย
นี่ล่ะสุดขีดพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นที่แก้ธรรมะเรา ปัญหาเรา ขึ้นไปนี่พอกราบเรียนจบแล้วนิ่งเลย ท่านปุ๊บขึ้นมาเลย ใส่ปั๊วะๆ "ฟังนะ" นั่นอย่างหนึ่ง "เอา ! ฟัง" ใส่ปั๊วะๆ "เข้าใจหรือยัง" ถ้าเรายังนิ่งอยู่ ท่านซ้ำอีกๆ พอเราเข้าใจแล้วกราบเลย ท่านรู้แล้วว่าเราเข้าใจ ท่านล้มนอน ที่ท่านจะห้ามว่า มาทำไมเรากำลังลำบากลำบนไม่เคยมี ไม่ทราบเป็นอย่างไร มันอะไรพูดไม่ถูกนะ ท่านไม่เคย กับเราแล้วท่านไม่เคยว่า เคยห้าม เคยดุ เคยด่า ว่าขึ้นมาทำไมอะไรอย่างนี้ไม่เคยมี จะเวลาไหน หนักเบาขนาดไหนในธาตุขันธ์ เราขึ้นไปไม่มีเลยแหละกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เป็นอย่างนั้นนะ เราจึงได้เทิดทูนสุดหัวใจ
________________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น