วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สวยเลิศในปฐพี

เล่าเรื่องโดย ชยสาโร ภิกขุ




          ท่านอาจารย์ปรารภกับลูกศิษย์ว่า  ท่านรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเวลาได้ยินพ่อแม่ปู่ย่าตายายชมลูกสาวหลานสาวว่าสวย  ท่านว่าการชมเด็กๆ ว่าสวยอยู่บ่อยๆ นั้น  มีส่วนส่งเสริมความเสื่อมสติปัญญาของสตรี  เด็กผู้หญิงสวยๆ ต้องได้ยินคำชมว่าสวยไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งกว่าจะเติบโตขึ้นมา  แม้เด็กผู้หญิงที่ไม่สวยก็ยังต้องทนฟังคำชมคนอื่น  แล้วยังเด็กผู้ชายที่ได้ยินคำชมเหล่านั้นอีกเล่า  มันเป็นการล้างสมองเด็กๆ ให้เข้าใจผิดว่า  คุณค่าชีวิตของผู้หญิงอยู่ที่หน้าตาและร่างกาย  ทำให้เกิดความหลงใหลในความสวยงาม
          ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์เล่าเรื่องพระนางเขมาแสนสวยผู้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์ในสมัยพุทธกาลในแนวสนุกๆ ว่า  พระนางหลงใหลในความสวยงามของตัวเองมาก  ต้องการจะเป็นคนที่สวยที่สุดเหมือนราชินีในเทพนิยายฝรั่งที่ส่องกระจกแล้วถามว่า  “Mirror! Mirror on the wall, who is the fairest of them all?...กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครสวยเลิศในปฐพี”  แต่ถ้ากระจกวิเศษกลับบอกว่า “สโนไวท์สวยเลิศในปฐพี”  พระนางจะทนไม่ได้ที่มีใครสวยกว่า  แม้พระนางจะสวยที่สุดในอินเดีย  ซึ่งอาจจะมีประชากรหลายล้านคนในยุคนั้น  แต่หากมีคนสวยกว่าพระนางเพียงคนเดียวในโลกนี้  พระนางก็รับไม่ได้
          พระเจ้าพิมพิสารพระสวามีเป็นพระโสดาบัน  และเป็นอัครอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า  ท่านไม่ค่อยปลื้มนักที่มเหสีของท่านเอาแต่หลงใหลในความสวยงามของตน  ไม่ยอมเข้าวัดเข้าวา  ชักชวนให้ไปด้วยทุกครั้งแต่พระนางก็ไม่ยอมไป  เพราะพระนางได้ยินข่าวว่า  พระพุทธเจ้าชอบสอนเรื่องอสุภะความไม่สวยไม่งาม  ซึ่งไม่ถูกจริตนิสัยของพระนาง
           พระเจ้าพิมพิสารพยายามคิดหาอุบายพามเหสีเข้าวัด ในที่สุดท่านคิดได้ว่าต้องใช้เรื่องความสวยความงามเป็นเครื่องล่อ  ท่านให้กวีเอกแต่งกลอนพรรณนาความสวยงามของเวฬุวนารามที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่  แล้วให้นักดนตรีแต่งเป็นเพลงไพเราะไปดีดพิณร้องให้พระนางเขมาฟัง  เมื่อได้ฟังเพลงนั้น  พระนางเกิดความรู้สึกอยากจะไปดูความสวยงามของเวฬุวนารามทันที  พระนางบอกพระสวามี  ซึ่งท่านก็รีบอนุญาต  แล้วท่านก็กระซิบกำชับมหาดเล็กให้หาทางพาพระมเหสีไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้จงได้
          ที่เวฬุวนาราม  พระนางเขมาเดินชมความงามของราชอุทยานโดยพยายามเลี่ยงไปให้ไกลจากเขตสงฆ์มากที่สุด  แต่มหาดเล็กก็พยายามหลอกล่อจนสุดความสามารถ  กึ่งเชิญชวนกึ่งบังคับให้พระนางเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าจนสำเร็จ  แม้พระนางไม่เต็มใจเลยก็ตาม
          เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นพระนางเขมาเดินเข้ามา  พระองค์ทรงเนรมิตหญิงงามขึ้นมาคนหนึ่ง  ซึ่งสวยงามชนิดหาที่เปรียบมิได้  พอพระนางเขมาเดินเข้ามา  สายตาพลันปะทะเข้าที่หญิงงาม  ท่านอาจารย์เล่าว่า  สมองของพระนางทำงานราวกับเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์สแกนข้อมูลทั้งหมด  ทั้งหน้าตา ผมเผ้า การแต่งกาย กิริยามารยาท ตึ๊ด!ตึ๊ด!ตึ๊ด!  ภายในเศษส่วนวินาที  พระนางก็ต้องทำใจยอมรับความจริงว่า  หญิงงามที่กำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยถวายงานพัดแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสวยงามกว่าพระนางมาก  โดยไม่ทราบว่านางงามคนนั้นเป็นเพียงสิ่งที่พระพุทธองค์เนรมิตขึ้นมาเพื่อให้บทเรียนแก่พระนางเท่านั้น  ดังนั้นพระนางจึงเกิดความอิจฉาขึ้นมาอย่างรุนแรง  ผู้หญิงคนนี้ทั้งสวยงามเลอเลิศ  ทั้งเข้าวัดก่อน  แล้วยังได้อุปัฏฐากใกล้ชิดถวายงานพัดแด่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นที่เคารพบูชาสูงสุดของพระเจ้าพิมพิสารและชาวกรุงราชคฤห์ทั้งหลาย
          เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบด้วยญานว่าพระนางเขมากำลังรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง  ก็ทรงเนรมิตให้หญิงงามคนนั้นค่อยๆ เปลี่ยนโฉมจากความงดงามอย่างสาวรุ่นที่เรียกว่าปฐมวัย  แก่ขึ้นๆ เข้าสู่วัยกลางคน  หรือมัชฌิมวัย  แล้วในที่สุดก็แก่ลงๆ เข้าสู่บั้นปลายชีวิตหรือปัจฉิมวัย  ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น ฟันฟางหักหมด หลังค่อม เดินไปด้วยความงกๆ เงิ่นๆ แล้วในที่สุดก็หมดลมตายอยู่ตรงนั้น
          ด้วยบุญบารมีที่เคยสั่งสมมาหลายภพหลายชาติ พระนางเขมาเห็นแล้วเกิดความสลดสังเวช เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร  จะสวยเลอเลิศขนาดไหนก็ต้องแก่ต้องตาย  นึกน้อมเข้ามาถึงตัวพระนางเองว่า  วันหนึ่งข้างหน้าก็จะหนีความแก่ความตายไม่พ้นเช่นกัน  ปัญญาจึงเกิดขึ้นและพระนางก็บรรลุโสดาบันในบัดนั้นเอง  ในที่สุดพระนางได้ออกบวชเป็นภิกษุณีและได้เป็นอัครสาวิกาฝ่ายขวา  ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญา  คู่กับพระสารีบุตร  ซึ่งเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวาผู้เลิศในทางปัญญา

          พระพุทธองค์ตรัสว่า  คนที่หลงความสวยความงามเหมือนแมงมุมที่ติดอยู่ในข่ายใหญ่ของตัวเอง  สร้างขึ้นมาเอง หลงเอง และทุกข์เอง


(จาก หนังสือเรื่องท่านเล่า  โดย ศรีอรา อิสสระ)