วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน : ประวัติ ตอนที่ ๓๑ โรคเจ็บขัดในหัวอก (เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓)

เทศน์เมื่อ  ๘  เมษายน  ๒๕๔๙



          ในการบำเพ็ญตนนี้ไม่มีคำว่ากลัวตาย  บทเวลามันจะมี  มันก็มีขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องมรรคเรื่องผลนั่นแหละ  นี่เคยเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ฟังมาหลายครั้งแล้วมัง  ที่พักอยู่บ้านกาหม (บ้านกาหม  ตำบลโพนทาอง  อำเภอโพธิ์ตาก  จังหวัดหนองคาย)  มี ๙ หลังคาเรือน  บ้านใหญ่เขาอยู่ทางนู้น  เรียกโพนทอง  กาหมโพนทอง  ป่าช้าเขามาใช้ร่วมกันกับบ้านกาหมนี้

          อันนั้นเขาเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้นะ  ถ้าธรรมดาเขาจะต้องเป็นเหมือนโรคอหิวาต์หรือโรคระบาด  สองวันตาย  สามวันตาย  ขนเข้ามา  ไอ้เราก็อยู่ในป่า  เขานิมนต์มากุสลา  ตั้งแต่เที่ยงไปแล้ว  ส่วนมากเขานิยมเผาศพตอนบ่าย  ตอนเช้านี้เขาไม่นิยมกัน  ทางภาคอีสานเป็นอย่างนั้น  ตอนบ่ายเผาศพ  นั้นล่ะตั้งแต่เที่ยงไปแล้ว  เขามานิมนต์เราไป  พระก็ไม่่ค่อยมีแถวนั้น  เขานิมนต์ไปสวดกุสลามาติกาให้เขา  เราก็ตั้งใจไปหาภาวนา  ทีนี้เมื่อโรคอันนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านนั้น  มันก็ไปกวนพระจนได้นั่นแหละ  ไปนิมนต์มากุสลา  เราก็มา  ทีนี้มาพอกุสลานี้ยังไม่เสร็จ  อ้าว ! เอามาอีกแล้วๆ อยู่อย่างนั้น

          เขาบอกว่าเป็นโรคขัดหัวอก  เขาว่าอย่างนั้น  มันเป็นโรคอะไรมันถึงตายเร็ว  สองวันตาย  สามวันตาย  ถ้าเลยสามวันไปแล้วรอดส่วนมากจะอยู่ในสองวันกับสามวัน  วันมาก ๘ ศพ  วันน้อยนี้ไม่ต่ำกว่า ๓ ศพ ๔ ศพ  เราไปอยู่ที่นั่น  ก็เลยสร้างความกังวลขึ้นมา  เอ๊ ! นี่เรามาหาที่ภาวนา  เลยมากังวลกับสิ่งเหล่านี้  สวดให้เขาไม่นานนะมันก็มาเป็นขึ้นกับเราโรคที่ว่านี่  นั่งสวดกุสลามาติกาอยู่นั้น  เขามาเผาศพที่ป่าช้า  ป่าช้าของคนบ้านนอกเขาอยู่ในป่า  ไม่ได้อยู่ตามเมรุอย่างนี้นะ  อยู่ในป่า  เป็นบริเวณป่าช้าสงวนไว้สำหรับป่าช้า  ที่แถวนั้นบริเวณนั้นเขาสงวนไว้สำหรับเผาศพ  เราก็ไปกุสลาอยู่นั่น  จนค่ำถึงได้กลับทุกวันๆ

          นี่ก็เป็นเรื่องไม่สะดวกใจการภาวนา  ตอนนั้นเป็นเวลาที่จิตหมุนติ้วเป็นธรรมจักรเสียด้วย  ไม่มีวันว่างเลย  เวลาว่างไม่มี  ตื่นนอนระหว่างกิเลสกับธรรมอยู่บนหัวใจอันเดียวกัน  ฟัดกันเลยๆ เป็นเองๆ  เราก็หมุนของเราเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์  เหมือนหนึ่งว่าอย่างรีบอย่างด่วน  นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆ  ธรรมะขั้นนี้นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม  นิพพานมีหรือไม่มี  มันไม่สนใจนะ  ความพ้นทุกข์กับนิพพานติดกันอยู่นี้  นิพพานก็อยู่ชั่วเอื้อมซิ  กับความพ้นจากกิเลสซึ่งสร้างกองทุกข์ให้สัตว์นี้  มันก็อยู่กับจิต  ธรรมที่จะแกกันก็อยู่กับจิ  ทีนี้มันก็หมุนกัน

          ทีนี้เขามานิมนต์ไปกุสลา  ก็เลยสร้างความไม่สะดวกให้เรา  จากนั้นมามันก็มาเป็นในเราเลย  นั่งอยู่ในป่าช้านะเป็นขึ้นเวลานั้น  แล้วสองวันตาย  สามวันตาย  พอมันเป็นขึ้นมา  เริ่มรู้ตั้งแต่มันเริ่มเป็ฯ  พอมันยิบแย็บๆ ขึ้นมา  เอ๊ะ ! ชอบกล  เพราะจิตไม่ได้ห่างจากนี้นี่นะสติอยู่กับนี้ตลอด  อะไรผิดปรกตินิดหนึ่ง  มันจะทราบทันทีๆ  ในจิตขั้นนี้นะ  จิตขั้นนี้ธรรมขั้นนี้  อ้าว ! แปลกๆ อย่างไรนะ  แล้วเป็นอย่างรวดเร็วด้วย  เพราะฉะนั้นเขาตาย  สองวันตาย  สามวันตาย  จึงเชื่อได้เลย  คือ  มันเป็นเหมือนว่าหมุนเข้าทันทีๆ เลย  ยิบแย็บๆ ขึ้นมาหนักเข้าๆ จนชัดเจน  อ๋อ ! เป็นอย่างนี้เองที่เขาตายแล้วมาเผากัน  เป็นอย่างที่เราเริ่มเป็นเวลานี้แล้ว  ไม่นานนะ  มันหนักขึ้นๆ อย่างรวดเร็วเสียด้วย

          เรานี่ถ้าแก่ไม่ตกจะต้องคนหนึ่งล่ะ  ตายอยู่ในป่าช้านี้แหละ  เพราะมันรวดเร็ว  มันเหมือนหอกเหมือนหลาว  มันแทงประสานกันอยู่ในหัวอก  หายใยแรงก็ไม่ได้  แปล๊บๆ เลยหายใจแรง  ยิ่งจามนี้สลบไปเลย  พอรู้ชัดเจนแล้ว  ก็เลยบอกญาติโยมตรงๆ เลย  นี่อาตมาเป็นอย่างที่ทั้งหลายตายมาเผากันอยู่เวลานี้แล้วนะ  เวลานี้เจ็บขัดหัวอก  ขึ้นอย่างรวดเร็ว  ให้อาตมาไปที่พักเสียเถอะ  อย่าให้อยู่เลยเดี๋ยวจะตายด้วยกันอีกเป็นแล้วนะเวลานี้  เขาก็ร้อนใจ  ไม่รั้งไม่อะไรเราไว้แหละ  โอ๋ ! ถ้าอย่างนั้นให้ท่านรีบไ  ปล่อยท่านไปเสีย  เราก็ออกจากที่นี่ไป

          ทีนี้เขาวิตกกังวลกับเรา  กลัวเราจะตายแบบเดียวกัน  เพราะเป็นโรคอย่างเดียวกัน  เขาก็ไม่สบายใจ  เราไปถึงตอนค่ำ  เขาก็หลั่งไหลไปอีกล่ะทีนี่  โอ้ย ! คนเป็นร้อย  ไม่ใช่ธรรมดาไปหาเรา  เราอยู่ในป่าลึกๆ  "มาอะไรล่ะนี่"   "ก็ทราบว่าท่านไม่สบาย  เป็นโรคอย่างเดียวกันนี้  ทุกข์ร้อนภายในจิตใจเลยวิ่งมาหาท่าน"  เราก็บอกทันทีเลย  "ไม่เป็นไรล่ะ  เป็นเฉพาะอาตมา  ให้พากันรีบกลับเสีย"  บอกให้เขารีบกลับ  เขาเอาหยูกเอายา  เอาน้ำท่าอะไร  น้ำยานั่นล่ะมา  ไม่เอาทั้งนั้น  บอกไม่เอาหมดเลย  ไล่ให้เขากลับในขณะนั้น  คนมามากๆ ไม่ให้เขาอยู่นานเลย  เพราะเราก็เร่งของเราแล้ว  ไล่เขากลับไป

          โรคอันนี้แก้ไม่ตกต้องตายแน่นอน  เพราะเป็นโรคที่เสียดแทงรุนแรงมากทีเดียว  เป็นลักษณะรีบด่วนๆ  นี่ล่ะที่ว่ามันกล้าต่อความตาย  จิตตอนนั้นมันไม่กล้านะ  มันสร้างความกังวลขึ้นมา  อ้าว ! แล้วทำอย่างไรนี่   เราก็ตั้งใจจะทำความพากเพียร  ชำระกิเลสให้เสร็จสิ้นลงไปถึงความพ้นทุกข์  แล้วโรคอันนี้มันก็มาเป็นอุปสรรค  เวลานี้จิตของเรากิเลสยังมี  แม้จะละเอียดขนาดไหน  ก็ยอมรับว่ายังมีกิเลส  ยังไม่พ้น  ตายไปแล้วจะไปค้างภพใดๆ  ไม่อยากค้าง  ถ้าหากว่าสิ้นสุดในเดี๋ยวนี้  ไปเดี๋ยวนี้  เราก็ไม่ห่วง  ไปได้เลย  แต่นี้ยังไม่สิ้นสุดในจิตใจ  เรายังไม่อยากตาย

          นี่ล่ะที่นี่ความไม่อยากตาย  สร้างความกังวลขึ้นนะ  โรคก็หนักเข้าๆ  จิตก็ยังไม่อยากตาย  เพราะตายเดี๋ยวนี้มันจะค้าง  ค้างขั้นใดก็ตามอย่าให้บอก  แต่ไม่สงสัยที่มันจะไปค้าง  พูดให้ชัดเจนเลย  ในจิตดวงนี้มันทราบชัดเจนว่า  ถ้าตายเวลานี้จะไปชั้นไหนๆ มันรู้เลย  ชั้นไหนก็เป็นชั้นสุทธาวาส  พระอนาคามี  พอได้ขึ้นอนาคามีแล้ว  ตายแล้วจะไปเกิดชั้นสุดธาวาส ๕ ชั้น คือ  อวิหา  อตัปปา  สุทัสสา  สุทัสสี  อกนิษฐา  นี่เป็นสุทธาวาส ๕ ชั้น   สำหรับผู้บรรลุอนาคามี  ถ้ายังอ่อนก็ไปชั้นอวิหา  แก่ไปกว่านั้นก็อตัปปา  สุทัสสา  สุทัสสี  แก่กว่านั้นก็อกนิษฐา  พ้นจากนั้นก็นิพพานเลย

          แต่นี้เรายังไม่พ้น  จะต้องไปอยู่ในชั้นใดชั้นหนึ่ง  ค้างวันหนึ่งคืนหนึ่ง  เราไม่อยากค้าง  เพราะไม่ถึงที่สุดที่เรามุ่งหวัง  อันนี้ที่มันไม่อยากตาย  คือมันยังจะค้าง  ตายนี้ปั๊บมันจะค้าง  มันไม่อยากตาย  ก็เป็นการสร้างความกังวลขึ้นมาเหมือนกัน  ไม่ได้หมายถึงว่ากลัวตายเหมือนโลกเขากลัว  กลัวแต่ว่าอันนี้ยังไม่หลุดพ้น  เรียกว่า  ให้รอเสียก่อน  ให้หลุดพ้นก่อนแล้วค่อยตายเมื่อไรก็ได้  เลยสร้างความกังวล  จะพิจารณาธรรมที่ได้เคยพิจารณามาแล้ว  มันก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย  ระหว่างความกังวลเรื่องความตายกับความเพียรมันต่อสู้กัน  ความเพียรก็ไม่หนักแน่นเพราะความกลัวตายว่า  มันจะไม่หลุดพ้นจะตายเสียก่อน  จะไปตกค้างอันนี้  มันสู้กัน

          อันนี้ก็เป็นธรรมภายในอีกเหมือนกัน  กำลังต่อสู้กันอยู่  ระหว่างความกลัวตายกับความสิ้นกิเลส  เวลานี้ยังไม่สิ้น  มันรู้ชัดๆ อยู่ในตัวเองว่ายังไม่สิ้น  จะให้หลุดพ้นหลุดไม่ได้  ตายนี้ต้องค้างชั้นใดๆ ไม่สงสัยแหละ  ไม่อยากค้างทั้งนั้น  เช่น  อนาคามี ๕ ชั้นนี้แน่นอนว่าจะไปจุดนั้น  เพราะมันเป็นขั้นแน่นอนแล้ว  ไม่นานนะ  มันสร้างความกังวลอยู่ระหว่างความตายกับมรรคผลนิพพาน

          สักเดี๋ยวก็ผางขึ้นมาเลย  "อ้าว ! ไอ้เรื่องความเป็นความตาย  ท่านก็เคยพิจารณาผ่านเวทีมาอยู่แล้วอย่างช่ำชอง  แล้วท่านมากลัวตายอะไรเวลานี้"  ขึ้นทันทีนะ  "ความเป็นความตายก็เป็นอริยสัจ  อยู่กับตัวของท่าน  ท่านทำไมไม่พิจารณา  เจ็บปวดเวลานี้ก็อริยสัจ  ท่านพิจารณาอริยสัจให้รู้แจ้งอริยสัจเท่านั้น  ท่านก็หายสงสัย  ท่านไปกังวลอะไรเรื่องความเป็นอยู่และตายไป  ท่านเคยต่อสู้กับความเป็นความตายเหล่านี้มามากแล้ว  ท่านมากังวลอะไร"  ว่าอย่างนั้นนะ  จิตมันกลับปุ๊บเลย  เอาธรรมที่โผล่ขึ้นมาเตือน  เกิดเองนะ  เตือนขึ้นมา

          พอว่าอย่างนั้น  ไอ้เรื่องความห่วงใยไม่อยากเป็นอยากตายปล่อยเลย  ทีนี้ก็หมุนเข้าทุกข์  ทุกข์นี่มันจะพาให้ตาย  ทุกฺขํ  อริยสจฺจํ   มันจะพาให้าย  นี่ก็เป็นอริยสัจ  จิตก็หมุนติ้วเข้ามานี่เลย  ทีนี้เลยไม่คำนึงถึงว่าเป็นว่าตาย  หมุนเข้าไปหากองทุกข์  ตรงไหนมันทุกข์  ทุกข์ที่ตรงไหน  ไม่กังวลกับเรื่องความเป็นความตาย  จ่ออยู่กับทุกขเวทนาที่เป็นอยู่ในร่างกาย  ซึ่งเราเคยพิจารณาเข้าใจมาแล้วๆ ทั้งนั้น

          ทีนี้ก็หมุนติ้วเข้าไปๆ  พิจารณาเข้าไป  ธรรมะกับกิเลสต่อสู้กันฟัดกันเลย  ธรรมะเมื่อลงใจอย่างนั้นแล้วก็มีกำลังมาก  ก็มีแต่หมุนใส่กัน  เอาตั้งแต่สองทุ่มนู่นล่ะมั้งถึงหกทุ่มนะ  หมุนกันอย่างหนักทีเดียว  เรียกว่าไม่ม่ใครรอใคร  ถ้าเป็นนักมวยก็ไม่มีกรรมการแยก  ใครเก่งให้อยู่บนเวที  ใครไม่เก่งให้ตกเวทีไป  ระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกันบนเวที  คือ  หัวใจของเรา  ซัดกันใหญ่เลยเชียว

          มันก็หมุนติ้วๆ  ตามต้อนเวทนา  มันเกิดขึ้นจากไหนๆ อะไรจุดไหนที่เป็นทุกข์มากกว่าเพื่อน  จิตจ่อเข้าไป  สติปัญญาจ่อเข้าไปๆ  ไล่เข้าไปเผาเข้าไป  ถือเอาจุดเด่น  ทุกข์จุดไหนเด่นกว่าเพื่อน  สติปัญญาจะจ่อเข้าไปจุดนั้น  พังอันนั้นๆ เรื่อยๆ ไป  ตั้งแต่หัวค่ำว่าอย่างนั้นเลย  จนกระทั่งถึงหกทุ่ม  มันไล่กัน  เห็นประจักษ์ในจิตของเรา  อำนาจแห่งธรรม  เพราะเวลานั้นธรรมเราก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ  สติปัญญาแก่กล้าสามารถอยู่แล้ว  เป็นแต่เพียงมาเป็นอุปสรรคเกี่ยวกับเรื่องความตายนี้เพียงเท่านั้น  สติปัญญานี้ก็เหมือนว่าเบากำลังลงไป  พอธรรมผุดขึ้นมาเรื่องทุกข์ก็เป็นอริยสัจ  ท่านไปกังวลอะไรกับความเป็นความตาย

          พอจับนี้ปุ๊บ  มันก็หมุนติ้วๆ เลย  เอาเสียหกทุ่ม  มันไล่กันพูดไม่ถูกแหละ  แต่ผู้เป็นมันรู้ตัวเอง  ทุกขเวทนากับสติปัญญาที่ตามต้อนกันๆ  ในสกลกายของเรานี้มันตามต้อนกันอยู่ภายในนี้  ทุกข์มากทุกข์น้อยเพียงไรไม่ถือเป็นข้าศึก  ถือเป็นของจริงทั้งนั้นๆ  ธรรมก็เป็นของจริง  ทุกข์ก็เป็นของจริง  แต่ละอย่างๆ พิจารณาให้มันจริงด้วยกัน  เมื่อต่างอันต่างจริงด้วยกันแล้วจะไม่มีความยึดถือกัน  ทุกข์ทั้งหลายมันจะตกไปเอง  มันก็หมุน  จนกระทั่งถึงหกทุ่ม  มันไล่กันจนแหลกนะ  เอาเสียโรคที่หนักๆ มันค่อยจางไปๆ  เพราะโรคหนักๆ  ก็หนักเพราะทุกข์

          ทีนี้ไล่ตามต้อนทุกข์ล่ะซิ  ตามต้อนทุกข์ก็่ขาดไปๆ เรื่อยๆ  เอาจนกระทั่งจิตสว่างจ้าขึ้นมาเลย  ทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นดับ  ดับจนกระทั่งดับหมดเลยไม่มีเหลือ  มีแต่ความสว่างจ้าของจิตด้วยอำนาจของสติปัญญา  ตามต้อนทุกขเวทนาให้เห็นความจริงของมัน  จิตก็สว่างจ้าทางนี้มันก็ขึ้นภายใน  เอาล่ะที่นี่ไม่ตาย  มันตัดสินเจ้าของแล้วไม่ตาย  พิจารณาจนกระทั่งโล่งหมด  ความทุกข์ทั้งหลายที่เสียดแทงอย่างหนักอย่างหนาจะเอาให้ตายในเวลานั้น  ขาดสะบั้นไปหมดเลย  นี่เรียกว่า  ธรรมโอสถ  แก้ทุกขสัจได้เป็นอย่างดี

          ดังที่  พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้  สกฺกตฺวา  พุทฺธรตนํ  ธมฺมรตนํ  สงฺฆรตนํ  โอสถํ  อุตฺตมํ  วรํ  ธรรมะนี้เป็นโอสถแก้ทุกข์ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี  มันก็แก้กันสดๆ ร้อนๆ ในวันนั้นแหละเห็นได้ชัดประจักษ์ใจ  บอกว่าทีนี้ไม่ตาย  ก็คือทุกข์เหล่านี้ดับหมด  ร่างกายเรากลายเป็นปรกติแล้ว  ที่กำลังได้รับความทุกขเทนาที่มันเสียดแทงอยู่นั้น  มันดับไปหมดเลย  ด้วยอำนาจของสติปัญญาตามต้อนกัน  จนกระทั่งอันนัั้นขาดหมด  จิตสว่างจ้าขึ้นมาเลย  แน่ใจไม่ตาย  กำหนดที่ไหนไม่มีเลยเรื่องทุกข์ที่เคยเกิดขึ้นม่  มันจะเอาให้เป็นให้ตายอยู่เวลานั้นดับหมดเลย  เที่ยงคืนผ่านไปแล้วหายหมด  ลงเดินจงกรมเลย  จนกระทั่งตอนเช้ามาจ้าอยู่อย่างนั้น  หายเลย

          นั่นล่ะคำว่าเป็นห่วงยังไม่อยากตายก็มาเป็นตอนนั้น  แต่ก่อนไม่ได้กลัวตายๆ  แต่เวลานั้นมันกลับกลัวตาย  คือยังไม่อยากตาย  เพราะมันยังไม่พ้น  พอเวลามันเข้าถึงพริกถึงขิงแล้ว  ความกลัวตายนั้นมันก็หมดไป  มีแต่อริยสัจฟัดกันกับมรรคสัจ  คือ  สติปัญญา  เอาจนโรคภายในร่างกายขาดสะบั้นไปให้รู้ชัดเจนในปัจจุบันด้วยธรรมโอสถ  คือ  สติ  ปัญญา  ศรัทธา  ความเพียร  ซัดกันขาดสะบั้นลงไป  นี่พูดถึงเรื่องทุกข์  เวลามันไม่อยากตาย  มันก็ไปเจอเอาตอนนั้น  แต่ก่อนก็ไม่มีอะไรปรากฏ  ก็ไม่คิดว่ากลัวนี้กลัวตายอยู่  พอถึงขันนั้นแล้วกลัวตาย  เหมือนว่ากลัวตาย  คือยังไม่อยากตายตอนนี้  ตายแล้วอย่างไรมันก็ไม่พ้น  จิตจะไปค้างอยู่นี้ล่ะ

          พูดให้ชัดๆ  อนาคามี ๕  ชั้นนี้ชั้นใดชั้นหนึ่ง  ค้างแน่  จากนี้มันก็ก้าวเข้าสู่นิพพาน  ไม่อยากค้าง  จะก้าวทีเดียว  จิตมันพุ่งใส่นู้นจะให้ถึงนิพพาน  ตายเมื่อไรได้ทั้งนั้นล่ะ  ถ้าลงนิพพานแล้ว  โรคหายไปแล้วทีนี้มันก็ค่อยก้าวของมันไปเอง  ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค  นี่แก้โรคด้วยธรรมโอสถ  แก้เห็นประจักษ์บนเวทีแห่งจิตตภาวนา  เราเองเป็นผู้เป็น  เราจึงไม่สงสัยในการที่จะนำมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง  จึงได้บอกชัดๆ เลยว่า  ในระยะนั้นตายแล้วจะให้เป็นอื่นไปไม่ได้  ต้องไปสุทธาวาส ๕ ชั้น  ชั้นใดชั้นหนึ่งแน่แล้วในจิต  ตายแล้วมันจะไปชั้นนั้นๆ  มันแน่แล้ว   แต่ชั้นใดก็ยังไม่เอา  ในสุทธาวาส ๕ ชั้นนี้ไม่ใช่นิพพาน  เราจะให้ถึงนิพพานเท่านั้น  ตายเมื่อไรได้ทั้งนั้น  มันก็แก้กันตก

          ก็บำเพ็ญไปเรื่อย  นี่ดูระหว่างมีนาฯ-เมษาฯ ล่ะมั้ง ปี พ.ศ. ๒๔๙๓   พอปัญหานั้นตกไปหายสงสัยแล้ว  จิตนี้มันก็ทำงานอัตโนมัติของมันอยู่แล้ว  มันหากเพียงลังเลเกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตายที่จะยังไม่ถึงที่สุด  เดี๋ยวมันจะตายก่อน  มันมากังวลเพียงเท่านั้น  พอธรรมกระตุกขึ้นมาเท่านั้น  มันก็ปล่อยปึ๋งซัดกันเลยเชียว  หลังจากนั้นก็กลับมาอุดรฯ  ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์  ท่านก็ให้ไปบวชหมอเจริญวัฒนสุชาติ  เอ้า ! มามัดเราอีกแล้ว  บวชนั่นแล้วก็ขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์  เดือนพฤษภาฯ  เมษาฯ  จะสิ้นเดือนถึงพฤษภาฯ  ที่ว่าวันที่  ๑๕  นั่นล่ะย่านนั้นล่ะ  ไปอยู่พักหนึ่ง  จึงไปม้วนเสื่อกัน  เรื่องความเป็นความตายชั้นไหนๆ  ชั้นแห่งธรรมทั้งหลาย  นี่มันไปม้วนเสื่อกันที่ตรงนั้น  ไม่มีอะไรเหลือภายในใจโดยสิ้นเชิง

_________________________________________

ไม่มีความคิดเห็น: