วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน : ประวัติ ตอนที่ ๒๐ เห็นกายที่หนองผือ (บรรลุสกิทาคามี)

เทศน์เมื่อ  ๑๗  กันยายน  ๒๕๔๑


          ปีพรรษา ๒๒  ท่าน(องค์หลวงปู่มั่น)  ได้หลักเกณฑ์ไม่หวั่นไหวตรงนั้นล่ะ  ทั้้งๆ ที่กิเลสมีอยู่นะ  แต่ว่าหลักธรรมนี้เข้าสู่ใจแล้ว  ไม่หวั่นไหวเลย  เชื่อแน่ต่อมรรคผลนิพพาน  กล้าหาญตั้งแต่นั้นมา  ไปได้หลักเกณฑ์อันใหญ่หลวงที่ถ้าสาริกา  สิ่งเหล่านี้มันมีตั้งแต่ครั้งนั้นเหรอ  ทุกวันนี้ก็ทำลงไปซิใครจะทำ  สิ่งที่จะเจอของจริงมีอยู่  เป็นแต่เพียงว่าหลับตาดูเฉยๆ ไม่เห็ฯ  เวลาลืมตาปั๊บก็เห็นอย่างท่านเห็น

          เราพูดไม่ใช่อวดนะ  จนได้ไปเล่าให้พ่อแม่ครูอาจารย์ฟังอยู่หนองผือ  พิจารณาร่างกายนี้แหละ  พิจารณาลงไปๆ  ดึกๆ นะ  พิจารณาลงไปๆ  ร่างกายมันเป็นของมันเอง  เวลามันจะเป็นขึ้นมา  มันแปลกนะ  ไม่มีใครช่วย  ไม่มีใครตกใครแต่ง  มันหากเป็นของมันเอง  พอจิตจ่อลงไปจุดเดียวเท่านั้น  ร่างกายจะทำงานของมันเอง  ผุพังแตกสลาย  สลายๆ ลงไป  พังลงไป  ก็ยิ่งสนใจ  ยิ่งดูความเป็นของมัน  นั่นล่ะธรรมท่านแสดง  อันหนึ่งเหมือนผู้ดู  อันหนึ่งเหมือนธรรมแสดงลวดลายต่างๆ

          สุดท้ายร่างกายนี้ก็พังลงไปๆ หมด  ยังเหลือแต่กองกระดูก  พิจารณากองกระดูก  กระดูกเหล่านี้มันก็เป็นดินเหมือนกัน  เหล่านั้นก็เป็นดิน  ส่วนที่ละเอียดมันก็ลงไปก่อนแล้ว  อันนี้ส่วนหยาบมันก็จะลงเป็นแผ่นดินอันเดียวกันนี้แหละ  พอว่าอย่างนั้นพรึบเลย  นั่นเห็นไหมล่ะ  ลงก็พรึบหมดเลย  โลกธาตุดับหมด

          โอ้โห ! อัศจรรย์  ลงเป็นชั่วโมงๆ นะ  เงียบเลย  แต่ธรรมชาติที่รู้ไม่ได้เงียบตัวเอง  สว่างจ้าเลย  มันเงียบสิ่งมาเกียวข้องต่างหาก  ว่างไปหมดเลย  โลกธาตุนี่ว่างเปล่าไปหมด  โอ้โห ! อัศจรรย์เป็นชั่วโมงๆ  จิตถึงค่อยถอนขึ้นมา  พอถอนขึ้นมาแล้วกำหนดดูต้นไม้  ภูเขา  กำหนดดูกุฏิศาลาไม่เห็นเลย  ว่างไปหมด  ลืมตาดูก็มองเห็นเป็นรางๆ แล้วว่างไปหมด  ตานี่เห็นพอเป็นรางๆ เงาๆ นะ  ส่วนใหญ่ของจิต  มันทะลุไปหมด  ว่างไปหมดเลย  อัศจรรย์

          ขึ้นไปเล่าให้ท่านฟัง  ท่านก็ขึ้นทันทีเลย   "เอ้อ ! ได้หลักพยานแล้ว  อย่างนี้ล่ะผมเป็น"  ท่านก็ยกนั้นล่ะขึ้นมา  ขึ้นอย่างขึงขังตึงตัง  "ผมเป็นที่ถ้ำสาริกา  เป็นอย่างท่านมหานี่ล่ะ"  เอาเลยได้การ  ขึ้นเลยนะขึงขัง  นั่นเห็นไหม  ธรรมเข้าดลใจท่าน  ก็อกน้ำที่ใสสะอาด  ท่านก็ผางออกมาเลย  เราก็ฟังอย่างเคลิ้มเทียว  ใครบอก  มันเป็นขึ้นมาเอง  จึงไปพูดให้ท่านฟังได้อย่างอาจหาญ  เอาความจริงไปพูด  ท่านก็รับขึ้นเลยทันที  "เออ ! เอาล่ะที่นี้ได้การ  ผมเป็นอย่างนี้แหละที่ถ้ำสาริกา  เอ้า ! ทีนี้ได้การๆ"  ผึงผังตึงตังเลย

          สองต่อสองนะ  เสียงลั่นอยู่ในห้อง  เรากับท่านไม่มีอะไรกันมันเหมือนพ่อกับลูกนั่นแหละ  จะเข้าหาท่านเมื่อไร  ท่านไม่เคยห้ามนะกับเรานะ  องค์อื่นไปยุ่งไม่ได้นะ  แม้ท่านป่วยก็เหมือนกัน  ใครจะไปยุ่งท่านไม่ได้นะ  ถ้าเราขึ้นเมื่อไร  ท่านไม่เคยว่าอะไรเลย  ไม่เคยนะกับเราท่านนอนอยู่  เราไปปั๊บ  เข้าไปถึงเท้าท่าน  เพราะเราก็หมุนติ้วของเรา  ธรรมะของเรา  ไปกราบเรียนเรื่องธรรมะ  ท่านก็อธิบายให้ฟังปุ๊บปั๊บๆ  เราก็ลงปุ๊บไปเลย

          ท่านไม่เคยห้ามเรานะ  นี่ที่แปลกอยู่  ไม่เคยได้ยินเลยว่าห้ามว่ามาทำไม  ไม่เคยมี  ทั้งๆ ที่พระเณรเข้าใกล้ไม่ได้  เราไปเมื่อไรได้ทั้งนั้น  ไม่ว่ากลางค่ำกลางคืน  เวลาไหนได้ทั้งนั้นเลย  ก็มีแปลกอันหนึ่งไม่ใช่ยกตัวนะ  เราพูดตามเรื่องท่านเมตตา  พอเล่าถวายท่านแล้วใจก็พอง  แล้วเราก็ได้หลักของเราก็แน่อยู่แล้ว  ก็ยิ่งมีสักขีพยานอันเป็นตัวเอกแล้ว  ใจก็ยิ่งพองขึ้น   โถ ! เราก็ซัดใหญ่เลย  วันหลังก็จะเอาอย่างเก่า  มันไม่ได้อีกแหละ  สองสามวันซัดกันอยู่ยังไม่ได้  ขึ้นไปหาท่านอีก  "ที่นี่มันไม่เป็นอย่างนั้นอีก"   "มันเป็นยังไง"   ท่านว่า  "ว่าจะเอาให้เป็นอย่างนั้น  มันเลยเป็นหนเดียว  จากนั้นมันก็รู้ธรรมดา  ลงธรรมดา"

          "มันจะเป็นบ้านะนี่"  ท่านว่า  บทจะเอา  "ไม่ได้สอนให้คนเป็นบ้า  มันเป็น  มันก็เป็นหนเดียวเท่านั้น  ผมก็เป็นหนเดียวเท่านั้นแหละ  ผมไม่เห็นเป็นบ้า  นี่มาเป็นบ้าอะไรอีก"   ขนาบใหญ่เลย   "ไม่ได้สอนคนให้เป็นบ้านี่นะ  มันเป็นแล้วก็ผ่านไปแล้ว  ไปยุ่งกับมันทำไม  พิจารณาในหลักปัจจุบันซิ  มันจะเป็นอะไรก็ให้เป็นขึ้นในหลักปัจจุบัน  ท่านรู้นั้น  ท่านรู้ในหลักปัจจุบันใช่ไหม  นั่นท่านเอาล่ะนะ  นี้ไปคว้าหาที่ไหนอีก"  โอ๋ย ! ขนาบอีกนี่ก็ดี  เราก็ไม่ลืม  นั่นเห็นไหม  จิตเวลามันแสดง

          นี้ถึงคราวที่จะพูด  นี่ไม่เคยพูดที่ไหนเลยนะ  พึ่งมาพูดนี่นะ  ก็อย่างนั้นแล้ว  เราไม่ได้หนัดได้หน่วง  รู้เหมือนไม่รู้  มีเหมือนไม่มี  เพราะไม่ได้หนักได้หน่วงเหมือนกิเลส...ธรรมมีในใจเหมือนไม่มี  แล้วแต่เหตุผลกลไกที่จะออกต้อนรับกัน  เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้มาเกี่ยวข้องหนักเบามากน้อย  มันก็จะออกตามขั้นตามภูมิ  ควรหนัก  หนัก  ควรเบาเบา  ถ้าไม่ควรก็ไม่ออกเลย  มีเท่านั้น  ไม่เห็นหนักเห็นหน่วง  ว่าอยากโอ้อยากอวด  อย่างนั้นไม่มี

          เวลาท่านขู่เอาวันนั้น  นี้ยังเป็นบ้าอยู่หรือนี่  ก็สอนให้ดีทำไมจะเป็นบ้า  ก็มันไม่เป็นอย่างเก่า  จะให้มันเป็นอะไรอีก  ก็มันเป็นแล้วขนาบใหญ่เลย  "ผมก็เป็นหนเดียวเท่านั้นไม่เคยเป็นอีกเลย  ผมก็ไม่สงสัยนี่นะ"  ว่างั้นนะ  "นี่มาเป็นบ้างมเงาอะไรอีก"  เราก็  โห ! ขบขันดี  ก็ไม่เป็นอีกนะ  เป็นหนเดียวเท่านั้น  เป็นแบบนั้นนะ  แบบอื่นมันก็เป็นของมันจิปาถะ  แล้วแต่มันจะเป็น  แต่ที่เด่นๆ เด็ดๆ มากๆ สะดุดใจอย่างมาก  อย่างไม่เคยเป็น  เราก็เล่าให้ฟังอย่างที่ขึ้นไปเล่าถวายท่าน

          อย่างอื่นมันก็เป็นอยู่แต่ธรรมดาๆ  แต่วันนั้นมันเป็นแบบสะเทือนโลก  ไปเล่าให้ท่านฟัง  ท่านก็คึกคักขึ้นเลย  "เออ ! ถูกต้องแล้ว  เหมาะแล้ว  ได้หลักได้เกณฑ์แล้ว  ผมเคยเป็นมาแล้วตั้งแต่อยู่ถ้ำสาริกา"  ท่านว่า  "ผิดกันตั้งแต่ผีใหญ่เท่านั้น  ท่านมหาไม่มีผี  ผมมีผี"  ท่านก็เลยรื้อมาเล่าให้ฟัง  "โห ! โลกธาตุดับหมดเลย  เหมือนกันกับท่านมหาแหละ  พูดตรงกันเป๋งเลย  เอาล่ะทีนี้ได้หลักใหญ่แล้ว"  ท่านว่าหลักใหญ่ คือ มันครอบไปหมดเกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพาน  เกี่ยวกับความรู้แปลกประหลาดอะไร  มันครอบไปหมด  ก็เป็นหนเดียวเท่านั้นล่ะ  จนกระทั่งป่านนี้ไม่เคยเป็นอย่างนั้นอีก

          แต่นี้มันเป็นอย่างนั้น  เป็นยังไงพูดไม่ถูก  มันเป็นของมันอยู่เป็นประจำ  แต่อันไหนที่เป็นบทเด็ดของมันก็มีอย่างที่ว่านี่  บทเด็ดมันก็มี  ท่านก็ไม่ค่อยเล่าเรื่องอะไรอีก  ท่านก็พูดบทเด็ดให้ฟังอย่างนั้นล่ะของท่าน  ท่านก็รู้ของท่านไปตลอดเวลา  พูดมันแปลกอยู่นะ

_____________________________________

ไม่มีความคิดเห็น: