วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน : ประวัติ ตอนที่ ๒๓ ออกใช้ปัญญาพิจารณาอสุภะ

เทศน์เมื่อ  ๒๕  ธันวาคม  ๒๕๔๖



          ทีนี้พอออกทางด้านปัญญามันก็รวดเร็ว  เพราะจิตอิ่มอารมณ์แล้ว  พิจารณาแยกธาตุ  แยกขันธ์  อสุภะอสุภัง  อนัจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา  ป่าช้าผีดิบ  ป่าช้าผีสด  แยกออกมาทีนี้มันก็ยิ่งรวดเร็วปัญญา  เพราะจิตอิ่มอารมณ์แล้ว  เอาล่ะที่นี่ฟาดให้จิตหมุนติ้วๆ ในทางปัญญา  แยกธาตุ  แยกขันธ์  กฎ  อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา   ทั่วแดนโลกธาตุประมวลเข้ามาหาตัวผู้หลงที่มันไปหลงเพลิน  พิจารณาแล้วมันก็คลายของมันออกไปเรื่อยๆ จิตก็ออกทางด้านปัญญา

          ทีนี้เวลาออกทางด้านปัญญา  มันผิดกันกับสมาธิเป็นไหนๆ  สมาธิสบายสงบเย็นดีอยู่เพียงขั้นนี้จะให้แยบคายยิ่งกว่านั้นไม่มี  สมาธิเต็มภูมิ  เต็มที่เลยสมาธิ  จะให้เหนือนั้นไปอีกไม่ได้  สมาธิ  เหมือนว่าน้ำเต็มโอ่ง  สมาธิก็เต็มโอ่งของสมาธิ  เราจะทำอะไรให้เป็นสมาธิยิ่งกว่านั้นอีกไม่มี  เราเต็มภูมิ

          พอท่านลากออกทางด้านปัญญา  มันถึงหมุนติ้ว  เวลาพิจารณาทางด้านปัญญานี้  โอ้โห ! น่าอัศจรรย์นะ  น่าแปลกประหลาด  มีแต่เอ๊ะๆ ทำไมเป็นอย่างนี้  จิตมีแต่แปลกประหลาด  มีแต่แยบคาย  แล้วพิจารณาอะไรกระจัดกระจายออกไปอย่างรวดเร็วๆ  หมุนติ้วเลยทางด้านปัญญา  ต่อจากนั้นไปก็มีความชำนิชำนาญเป็นสติปัญญาอัตโนมัติหมุนตัวไปเอง  สติปัญญากลมกลืนเป็นอันเดียวกัน  หมุนตัวตลอดเวลา  แก้กิเลสไม่มีอิริยาบถ  เว้นแต่หลับเท่านั้น  ทีนี้หมุนตัวเป็นเกลียวไปอีกนะ  ไม่หยุดไม่ถอย  แล้วกลับมาบางคืนไม่ได้หลับเลย  ความเพียรมันหมุนตัวของมันไปเองโดยอัตโนมัติ

         มันดูดมันดื่มในการพิจารณา  ฆ่ากิเลสได้เป็นลำดับๆ ยิ่งเพลินที่นี้  การหลับนอนบางคืนนอนไม่หลับ  เพราะจิตมันไม่ยอมนอน  เรานอนลงไปนี้  จิตมันหมุนกันอยู่กับกิเลส  ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของมัน  กลางวันก็ยังไม่หลับอีกมันหมุนติ้ว  อ้าว ! มันจะตายแล้วนะนี่  มันเป็นยังไง  ว่าออกก็ออกเหนือเหตุเหนือผล  จึงไปเล่าถวายท่านว่า  "พ่อแม่ครูอาจารย์ว่าให้ออกทางด้านปัญญา  เวลานี้ออกแล้วนะ"  ว่างี้  "มันออกยังไงว่ามาซิ"   "ก็มันหมุนตัวอยู่ตลอดทั้งกลางวันกลางคืน  สุดท้านนอนไม่หลับก็มีบางคืน"  "นั่นล่ะ  มันหลงสังขาร"  เห็นไหมล่ะ  ท่านว่ามันหลงสังขาร

____________________________________

องค์หลวงปู่มั่น แก้การออกทางด้านปัญญา
เทศน์เมื่อ  ๒๘  มีนาคม  ๒๕๔๘

          เห็นไหมล่ะ  เรากับพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่เคยพูดธรรมะนิ่มนวลนะ  ต้องธรรมะฟ้าถล่มๆ ทั้งนั้นล่ะ  นั่นล่ะตามนิสัยเห็นไหม  คำพูดของท่านแข็งกร้าวไหม  คำพูดของท่านดุด่าว่ากล่าว  กระแทกแดกดันไหม  ฟังซิน่ะ  ท่านลงตามจุดๆ  ที่ควรจะหนัก  ท่านหนัก  นั่นล่ะธรรมเป็นอย่างนั้น  ควรจะหนัก  ท่านก็หนัก  อย่างที่ท่านฟาดเรานี้ก็  "มันหลงสังขาร"  "ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้"   "นั่นล่ะ  บ้าหลงสังขาร"  ชัดเข้าอีก  ขึ้นบ้าหลงสังขารล่ะที่นี่  มันก็หมุนของมันไปเรื่อยๆ เวลาจะตายแล้วก็ย้อนเข้ามาสู่สมาธิ

          อันนี้เราพูดย่อๆ นะ  มันจะตายจริงๆ ถึงเข้ามาสมาธิ  สมาธิที่เก่งกล้าที่สุดนั้นไม่มีความหมายนะ  สู้ปัญญาไม่ได้  ปัญญานี้พุ่งๆ ตลอด  จะเข้าสมาธิ  โอ้ย ! สมาธินี่มันนอนตายอยู่เฉยๆ ไม่เห็นเกิดปัญญา  แน่ะ  ปัญญาต่างหากฆ่ากิเลส  สมาธิไม่ได้ฆ่ากิเลส  มันก็เลยหมุนไปทางด้านปัญญา  มันไม่พอดี  ท่านจึงเรียกว่า  มันหลงสังขาร

          คือ สังขารนี่  สังขารที่เป็นปัญญา  สังขารเป็นมรรคแก้กิเลส  ทีนี้เราไม่รู้จักประมาณ  สังขารฝ่ายสมุทัยมันแทรกเข้าไปในนั้น  ท่านว่ามันหลงสังขาร  คือ  สังขารสมุทัย  ไม่รู้จักประมาณ  ความหมายว่างั้น  แต่ท่านไม่ได้พูดมากนักกับเรา  ให้เราไปตีเองทุกอย่าง  ท่านจะจับไม้ก็ทั้งท่อนโยนให้เรา  ให้ไปเลื่อยเอง  อันนี้ก็แบบเดียวกัน  นี่มันหลงสังขาร

          พอเราเถียงท่านว่า  ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้  "นั่นล่ะบ้าหลงสังขาร"  เท่านั้นพอ  แต่เวลามันไปแจงแล้ว  โอ้โห ! ท่านพูดอย่างนี้  เวลามันจะตายจริงๆ  มันเข้าสมาธิ  พิจารณาพุ่งๆๆ  เป็นระยะๆๆ  นี่ตรงนี้ก็ลงท่าน  ท่านว่ามันหลงสังขาร  คือ  มันพิจารณาเลยเถิดไม่อยู่ในความพอดี  สังขารสมุทัยแทรกเข้าไป  เราไม่รู้  แต่เวลาผ่านไปแล้ว  มันรู้หมดนั่นซิ  เรื่อยเลย

          นี่เราก็ไม่ลืม  ไล่ออกจากสมาธิ  จนเถียงกันก็ไม่ลืม  ที่ออกทางด้านปัญญาได้รั้งเอาไว้  ท่านว่าขนาดถึงบ้าหลงสังขาร  นี่เราก็ไม่ลืม  นี่ล่ะมันลงท่านทุกอย่าง  ที่ได้แล้วลงทั้งนั้นถูกหมด  ท่านพูด  เราผิดทั้งเพ


_____________________________________

ไม่มีความคิดเห็น: