วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน : ประวัติ ตอนที่ ๑๗ พรรษา ๑๐ (พ.ศ. ๒๔๘๖) นั่งภาวนาตลอดรุ่งคืนแรก (บรรลุโสดาบัน)

เทศน์เมื่อ  ๓๑  ตุลาคม  ๒๕๒๑



          ตอนที่เห็นความอัศจรรย์ก็เห็นตอนนั่งภาวนาตลอดรุ่ง  ตั้้งแต่เริ่มคืนแรกพิจารณาทุกขเวทนา  แหม ! มันทุกข์แสนสาหัสนะ  ทีแรกก็ไม่นึกว่า  จะนั่งสมาธิภาวนาตลอดรุ่ง  นั่งไปๆ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นๆ  พิจารณายังไงก็ไม่ได้เรื่อง  "เอ๊ะ ! มันยังไงกันนี่ว่ะ  เอ้า ! วันนี้ตายก็ตาย"  เลยตั้งสัจจอธิษฐานในขณะนั้น  เริ่มนั่งตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงสว่างถึงจะลุก  "เอ้า ! เป็นก็เป็น  ตายก็ตาย"  ฟาดกันเลยทีเดียวจนกระทั่งจิตซึ่งไม่เคยพิจารณา  ปัญญายังไม่เคยออกแบบนั้นนะ  แต่พอเวลามันจนตรอกจนมุมจริงๆ

          โอ้ย ! ปัญญามันไหวตัวทันเหตุการณ์ทุกแง่ทุกมุม  จนกระทั่งรู้เท่าทุกขเวทนา  รู้เท่ากาย  รู้เรื่องจิต  ต่างอันต่างจริง  มันพรากกันลงอย่างหายเงียบเลย  ทั้งๆ ที่เราไม่เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อนเลย  กายหายในความรู้สึก  ทุกขเวทนาดับหมด  เหลือแต่ความรู้ที่สักแต่ว่ารู้  ไม่ใช่รู้เด่นๆ ชนิดคาดๆ หมายๆ ได้นะ คือ สักแต่ว่ารู้เท่านั้น  แต่เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุด  อัศจรรย์ที่สุดในขณะนั้น  พอถอนขึ้นมาก็พิจารณาอีก  แต่การพิจารณา  เราจะเอาอุบายต่างๆ ที่เคยพิจารณามาแล้วมาใช้ในขณะนั้นไม่ได้ผล  มันเป็นสัญญาอดีตไปเสีย  ต้องผลติขึ้นมาใหม่ให้ทันกับเหตุการณ์ในขณะนั้น  จิตก็ลงได้อีก  คืนนั้นลงได้ถึง ๓ ครั้งก็สว่าง  โอ้ย ! อัศจรรย์เจ้าของล่ะซิ

          รุ่งเช้ามาพอได้โอกาส  ก็ขึ้นไปกราบเรียนท่านอาจารย์มั่น  ซึ่งตามปกติมีความกลัวท่านมาก  แต่วันนั้นไม่ได้กลัวเลย  อยากจะกราบเรียนเรื่องความจริงให้ท่านทราบ  ให้ท่านเห็นผลแห่งความจริงของเรา  ว่าปฏิบัติมาอย่างไรจึงได้ปรากฏเช่นนี้  พูดขึ้นมาอย่างอาจหาญเลย  ทั้งๆที่เราไม่เคยพูดกับท่านอย่างนั้น  พูดขึงขังดึงดังใส่เปรี้ยงๆ พอเล่าถวายท่านจบแล้วก็หมอบฟังท่าน  ท่านขึ้ทีแรกท่านยอ  "เอ้อ ! มันต้องอย่างนี้แหละ"  ท่านว่างั้นเลย  "เอาล่ะทีนี้ได้หลักแล้วเอาเลย  อัตภาพร่างกายอันเดียวนี้มันไม่ได้ตายถึงห้าหน  มันตายหนเดียวเท่านั้น  ทีนี้ได้หลักแล้ว  เอาเลย"  โอ๋ย! เราก็เป็นหมาตัวหนึ่งเหมือนกันนะ  ลงมาเห่าลมเห่าแล้งก็เห่า  ใบไม้ร่วงก็เท่านมันกล้าหาญเช่นไรทั้งจะเห่า  ทั้งจะกัด  ฟัดอีกๆ

___________________________________

ภูมิปฐมฤกษ์
          คนตายแล้วสิ่งเหล่านี้มีไปเผาไฟ  มันไม่ได้ว่าอะไร  มันเป็นทุกข์  เพราะหัวใจไปสำคัญมั่นหมาย  ทุกข์เป็นอันหนึ่งต่างหาก  ทุกข์ไม่ใช่กาย  กายไม่ใช่ทุกข์  จิตไม่ใช่ทุกข์  ทุกข์ไม่ใช่จิต  แยกกันไปแยกกันมา  พอมันรอบพอแล้ว  ปัญญามันพอพร้อมแล้ว  จิตนี้ลงผึงเลย  ฟังซิน่ะ  นี่ล่ะผลแห่งการปฏิบัติบีบบังคับตัวเอง  เวลาลงนี้ถึงแดนอัศจรรย์  สว่างจ้าไปหมดตามภูมิของเรานั่นแหละ  ถึงยังไม่พ้นกิเลสก็ตาม  ภูมินี้ก็เป็นภูมิอัศจรรย์  ในปฐมฤกษ์ของเรา  ได้หลักได้เกณฑ์มาตั้งแต่บัดนั้นแหลที่นี่  แล้วฟัดกันคืนไหนไม่เคยมีพลาด  ความอัศจรรย์ของจิตที่ลงเพราะการพิจารณาด้วยสติปัญญาในทุกขเวทนาทั้งหลายนี้รอบหมดแล้ว  จิตลงผึงๆ ได้ทุกคืนไม่มีพลาดเลย
๒๑  กรกรฎาคม  พุทธศักราช  ๒๕๕๑
_________________________________________

การพิจารณาเวทนาขณะนั่งตลอดรุ่ง
จากปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น

          นับแต่ขณะเริ่มนั่งจนถึงขึ้นเวทนาใหญ่เกิดขึ้น  ถ้าผู้ยังไม่เคยประสบมาก่อน  ก็น่าจะไม่ทราบว่าอันไหนเป็นเวทนาเล็ก  อันไหนเป็นเวทนาใหญ่  กลัวจะเริ่มเหมาไปแต่เวทนาเล็ก  ซึ่งเป็นเพียงลูกหลานของมันเท่านั้นว่า  เป็นเวทนาใหญ่ไปเสียหมด  ทั้งที่เวทนาใหญ่ยังไม่ตื่นนอนก็เป็นได้  แต่ถ้าผู้เคยประสบมาแล้วก็ทราบได้ทันทีว่า  เป็นเวทนาอะไร  เพราะเวทนาใหญ่จะเริ่มปรากฏตัวนับแต่ห้าหกชั่วโมงล่วงไปแล้ว  ก่อนหน้านี้มีแต่เวทนาเล็ก  ซึ่งเปรียบกับลูกๆ หลานๆ เท่านั้นมาเยี่ยมหยอกเล่นพอให้รำคาญ

          เวทนาใหญ่เมื่อเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว  อวัยวะส่วนต่างๆ  ปรากฏว่า  เจ็บปวดรวดร้าวและระบมไปหมด  ราวกับจะแตกทลายลงในขณะนั้นจริงๆ  ความออกร้อนตามหลังมือหลังเท้ารุนแรงมาก  เหมือนมีคนมาก่อไฟหุงต้มแกงอะไรๆ ในที่นั้น  กระดูกในอวัยวะส่วนต่างๆ  เหมือนมีคนเอาค้อนมาทุบตีให้แตกให้หักไปในขณะนั้น  เพราะความเจ็บปวดแสบร้อนสาหัส  จนไม่มีที่ปลงวางร่างกายจิตใจลงได้เลย  ปรากฏเป็นกองเพลิงไปทั้งร่าง

          สิ่งที่จะสามารถต้านทานกันได้เวลานั้น  มีแต่สติปัญญา  ศรัทธา  ความเพียร  มีความอด  ความทนเป็นเครื่องหนุนหลัง  ไม่ยอมถอยทัพกลับแพ้ข้าศึกที่กำลังโหมกันมาอย่างเต็มที่  มีสติกับปัญญาเท่านั้นที่ต้องผลิตขึ้นมาด้วยอุบายต่างๆ  เพื่อให้ทันกับเวทนาในเวลานั้น  โดยแยกแยะกาย  เวทนา  จิต  ออกทดสอบเทียบเคียงกัน  ดูจนทราบความจริงของแต่ละสิ่งอย่างชัดเจนด้วยปัญญา

          การแยกแยะ  ไม่ว่าแยกแยะกายกับเวทนา  หรือแยกแยะจิตกับเวทนา  สติกับปัญญาต้องหมุนติ้วอยู่ในวงงานที่ทำ  จะส่งออกไปอื่นไม่ได้  เวลานั้นทุกขเวทนาแสดงตัวมากเพียงไร  สติปัญญายิ่งพิจารณาไม่หยุดหย่อนเพื่อรู้ความจริงในสิ่งที่ประสงค์อยากรู้  อยากเห็น  อยากเข้าใจ  เวทนาจะกำเริบหรือลดตัวลง  หรือว่าจะดับไป  ก็ให้รู้ประจักษ์ในวงการพิจารณาเป็นสำคัญ

          ข้อสำคัญ  อย่าตั้งความหวังให้ทุกข์ดับไป  โดยที่พิจารณายังไม่เข้าใจความจริงของกาย  ของเวทนา  และของจิต  ว่าต่างอันต่างเป็นความจริงของตนอย่างไรกันแน่   พิจารณาจนเข้าใจทั้งกาย  ทั้งเวทนา  ทั้งจิต    เมื่อเข้าใจด้วยสติปัญญาจริงๆ แล้ว  กายก็สักแต่ว่ากาย  ไม่ได้นิยมว่าตนเป็นทุกข์เป็นเวทนา  เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนาอยู่เท่านั้น  ไม่นิยมว่าตนเป็นกายเป็นจิต  แม้จิตก็สักแต่ว่าเป็นจิตอยู่เท่านั้น  ไม่นิยมว่าตนเป็นกายเป็นเวทนา  ดังที่เคยสำคัญแบบสุ่มๆ เดาๆ มาแต่เวลาที่ยังมิได้พิจารณาให้เข้าใจ  พอสติปัญญาพิจารณารอบแล้ว  ทุกขเวทนาทั้งหลายก็ดับลงในขณะนั้นไม่กำเริบต่อไป  จิตก็รวมลงอย่างสนิดชนิดไม่รับรู้กันเลย

          อีกประการหนึ่ง  แม้จิตจะไม่รวมลงถึงขั้นดับสนิท  แต่ก็มิได้รับความกระทบกระเทือนจากเวทนา  คือ  กายก็จริง  เวทนาก็จริง  จิตก็จริง  ต่างอันต่างจริง  ต่างอันต่างอยู่ตามความจริงของตน  ขณะที่ต่างอันต่างจริงนั้น  จะได้เห็นความอัศจรรย์ของจิต  และเห็นความอาจหาญของจิต  ว่าสามารถแยกตนออกจากเวทนาทั้งหลายได้อย่างอัศจรรย์เกินคาด  นอกจากนั้นยังเกิดความอาจหาญต่อความเป็นความตายที่ขวางหน้าอยู่อย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ อีกด้วย  เนื่องจากได้เห็นหน้าตาเวทนาที่เคยหลอกลวงให้กลัวเป็นกลัวตายอย่างประจักษ์ใจแล้วในขณะนั้น

           คราวต่อไป  แม้เวทนาจะแสดงความกล้าสาหัสมากมายขนาดใด  ใจก็สามารถพิจารณาได้ทำนองที่เคยพิจารณาและเข้าใจมาแล้ว  การรู้เห็นอย่างนี้แล  คือ  การรู้เห็นสัจธรรมด้วยสติปัญญาแท้  แม้จะมิใช่รู้เห็นขั้นเด็ดขาดหาดกิเลสให้จบไปโดยสิ้นเชิงก็ตาม  แต่กิเลสจะจมมิดหัวไม่มีฟื้นได้  ก็ต้องอาศัยวิธีนี้เป็นเครื่องดำเนินในวาระต่อไป

________________________________________

ไม่มีความคิดเห็น: