พอเว้นคืนหนึ่งสองคืนก็นั่งตลอดรุ่งอีก เว้น ๒-๓ คืนเอาอีกจนกระทั่งจิตอัศจรรย์ เรื่องความตายนี้หายหมด เวลามันรู้จริงๆ แล้วแยกธาตุ แยกขันธ์ ดูความเป็ฯความตาย ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ สลายตัวไปแล้วก็เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟตามเดิม อากาศธาตุก็เป็นอากาศธาตุตามเดิม ใจที่กลัวตายก็ยิ่งเด่น มันเอาอะไรมาตาย รู้เด่นขนาดนี้มันตายได้ยังไง ใจก็ไม่ตาย แล้วมันกลัวอะไร มันโกหกกัน โลกกิเลสมันโกหกกันต่างหาก (คำว่าโกหกกันนั้น หมายถึง กิเลสโกหกสัตว์โลกให้กลัวตาย ทั้งที่ความจริงไม่มีอะไรตาย)
พิจารณาวันหนึ่งได้อุบายแบบหนึ่งขึ้นมา พิจารณาอีกวันหนึ่งได้อุบายแบบหนึ่งขึ้นมา แต่มันมีอุบายแบบเผ็ดๆ ร้อนๆ แบบอัศจรรย์ทั้งนั้น จิตก็ยิ่งอัศจรรย์และกล้าหาญจนถึงขนาดที่ว่า เวลาจะตายจริงๆ มันจะเอาเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราวะ ทุกขเวทนาทุกแง่ทุกมุมที่แสดงในวันนี้เป็นเวทนาที่สมบูรณ์แล้ว จากนี้ก็ตายเท่านั้น ทุกขเวทนาเหล่านี้เราเห็นหน้ามันหมด เข้าใจมันหมด แก้ไขมันได้หมด แล้วเวลาจะตาย มันจะเอาเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราให้หลงอีกวะ หลงไปไม่ได้ เวทนาต้องเวทนาหน้านี้เอง พูดถึงเรื่องความตายก็ไม่มีอะไรตาย กลัวอะไรกันนอกจากกิเลสมันโกหกเรา ให้หลไปตามกลอุบายอันจอมปลอมของมันเท่านั้น แต่บัดนี้ไปเราไม่หลงกลของมันอีกแล้ว
นั้นล่ะจิตเวลามันรู้ และมันรู้ชัดตั้งแต่คืนแรกนะ ที่ว่าจิตเจริญแล้วเสื่อมๆ ก่อนมาภาวนาจนนั่งตลอดรุ่งคืนแรกมันก็ไม่เสื่อม ตั้งแต่เดือนเมษายนมาก็ไม่เสื่อม แต่มันก็ยังไม่ชัด พอมาถึงคืนวันนั้นแล้วมันชัดเจน เอ้อ! มันต้องอย่างนี้ไม่เสื่อม เหมือนกับว่ามันปีนขึ้นไปตกลงๆ พอปีขึ้นไปเกาะติดปั๊บ ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เสื่อม มันรู้แล้ว จึงได้เร่งเต็มที่เต็มฐาน
ในพรรษานั้นนั่งภาวนาตลอดรุ่งถึง ๙ คืน ๑๐ คืนกว่าๆ แต่ไม่ติดกัน โดยเว้น ๒ คืนบ้าง ๓ คืนบ้าง บางทีก็เว้น ๖-๗ คืนก็มี จนเป็นที่แน่ใจในเรื่องของทุกขเวทนาหนักเบามากน้อย เข้าใจวิธีปฏิบัติต่อกัน หลบหลีกปลีกตัวแก้ไขกันได้ทันท่วงทีไม่มีสะทกสะท้านแม้จะตายก็ไม่กลัว เพราะได้พิจารณาด้วยอุบายแยบคายเต็มที่แล้ว สติปัญญาทันความตายทุกอย่าง
_____________________________________
องค์หลวงปู่มั่นแก้การนั่งภาวนาตลอดรุ่ง
เทศน์เมื่อ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๖
เล่าความอัศจรรย์ให้ท่านฟัง ทุกคืนไม่มีพลาด ลงถึงความอัศจรรย์ จนกระทั่งตอนท้ายนี้ ท่านไม่ค่อยพูดยกยออะไรนัก ท่านฟังนิ่งๆ ไป เราก็ยังไม่รู้ตัว ความรู้ของเรามันก็เด่นอยู่ตลอดเวลา ไม่เห็นบกพร่องที่ตรงไหน พอถึงวาระที่ท่านจะกระตุกหรือเหยียบเบรกให้เรา พอขึ้นไปหาท่าน กราบท่านเท่านั้น "กิเลสมันไม่ได้อยู่ในกายนะ มันอยู่ในใจนะ มันอยู่กับใจต่างหาก มันไม่ได้อยู่ในธาตุในขันธ์ มันไม่อยู่ในกายนะ" ท่านว่างั้น ถ้าธรรมดาเราแล้วจะหักโหมอะไรนักหนา ความหมายว่างััน เมื่อจิตก็พอเป็นพอไปแล้ว จะมาหักโหมอะไรนักหนา
แต่ท่านรู้นิสัยเรา เป็นนิสัยผาดโผนเอาจริงเอาจัง ท่านก็ใส่เปรี้ยงเลยว่า "กิเลสมันไม่อยู่กับกายนะ มันอยู่กับใจ" ท่านก็ยกม้าที่มีในตำรานั้นแหละมาสอนมาบอกเรา "สารถีฝึกม้า ถ้าม้าตัวไหนมันผาดโผนมาก มันคึกมันคะนองมาก ผาดโผนมาก สารถีเขาจะต้องฝึกอย่างแรงทีเดียว ฝึกอย่างหนัก ฝึกอย่างหนักแน่นทีเดียว จนกว่าว่าม้านี่ค่อยลดพยศลงไป การฝึกอย่างนั้นเขาก็ค่อยลดลงตามส่วน จนกระทั่งว่าม้านี้ใช้ได้แล้ว ไม่มีพยศอดสูอะไร พอที่จะต้องฝึกอย่างนั้นแล้ว เขาก็ใช้งานใช้การเป็นธรรมดาเท่านั้นแหละ"
ท่านไม่ได้ย้อนมาหาเรา เรายังเสียดาย เพราะนิสัยเรามันหยาบ ท่านว่างั้น เราเข้าใจหมดแล้ว พอพูดอย่างงั้น เพราะมันมีแล้ว ในตำราก็มี เราก็เห็นมาแล้ว พูดเท่านั้นแหละ เราก็เข้าใจ แต่เราที่ยังเสียดายอยู่อันหนึ่งว่า สารถเขาฝึกม้า เขารู้จักประมาณ เขาฝึกเป็นอย่างนั้น แต่ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไง มันถึงผาดโผนเอานักหนา แต่ก้นแตกไม่เคยเล่าถวายท่านนะ ก้นแตกไม่เคยเล่า เล่าตั้งแต่ความผาดโผนเวลาฝึกทรมานตัวเองให้ท่านฟัง เรายังเสียดาย ท่านไม่ย้อนกลับมาว่า ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไง มันถึงไม่รู้จักประมาณ ความหมายก็ว่าอย่างงั้น
ทีนี้พอท่านว่าให้วันนั้นแล้ว เราหยุดเลยนะนั่งตลอดรุ่งๆ ถ้าหากว่าท่านไม่มากระตุกนั้น มันยังจะเอาอีก ไม่ใช่เล่นๆ นะ ก็เลยหยุดตั้งแต่บัดนั้น ไม่นั่งตลอดรุ่งอีกเลย นั่งเป็นเวลา ๙ ถึง ๑๐ คืน เว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง ตลอดรุ่งๆ นี่ล่ะจับจิตได้ความอัศจรรย์ ได้ความแปลกประหลาดจากภาคปฏิบัติ เวลาที่เราฝึกทรมานอย่างเต็มเหนี่ยว เพราะกิเลสมันดื้อ เราก็ใส่กันอย่างหนักอย่างที่ว่านี่แหละ จากนั้นมาจิตของเรามันก็แน่นหนามั่นคงแล้ว เราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกเลย จิตสงบแน่ว นั่นเห็นไหม ผลแห่งการปฏิบัติด้วยจิตตภาวนาของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย จิตใจมีความแน่นหนามั่นคงขึ้นไปเรื่อยๆๆ
______________________________________
นิมิตโยมพ่อตาย (พ.ศ. ๒๔๘๗)
เทศน์เมื่อ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๑
พ่อพูดคำหนึ่ง เราก็ไม่ลืมนะ ส่วนแม่ไม่พูด ส่วนพ่อนั้นมาพูดคำหนึ่ง ได้ ๑๐ พรรษากว่าแล้วล่ะ ตอนนั้นกำลังเร่งความเพียรก่อนพ่อจะเสียก่อนิดเดียว พูดไปพูดมา "ไม่คิดอยากสึกเหรอ" ว่าอย่างนั้นนะ ท่านถาม เราไม่ตอบเลย เฉยไม่ตอบ จากนั้นพ่อก็เสียไป
พรรษา ๑๐ นั่งภาวนาอยู่ตอนตี ๔ เวลาจิตสงบรวามเข้าไปเห็นน้องของพ่อ...อา เอาจดหมายไปยื่นให้เรา พอยื่นให้ "อะไรล่ะ" ไม่ตอบ ออกไปเลย มันก็ทราบภายในรับกันกับจดหมายว่า พ่อเสียแล้ว เสียเมื่อคืนนี้ ว่าอย่างนั้นนะ
ตื่นเช้ามาก็เลยเล่าให้หมู่เพื่อนฟังว่า "วันนี้มีนิมิตแปลกๆ นะ เมื่อเช้านี้นั่งอยู่ตี ๔ ปรากฏว่า อา...น้องของพ่อนั่นล่ะ เอาจดหมายมายื่นให้แล้ว ถามว่าจดหมายอะไร ไม่บอกแล้วออกไป มันก็รู้รับกันว่าจดหมายบอกข่าวว่า พ่อตายแล้วเมื่อคืนนี้ๆ" ตื่นเช้ามาก็เลยเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง คอยดูมันจะจริงไหม จำเอาไว้ล่ะ
ประมาณสัก ๗ วันจดหมายก็มา พ่อตายแล้วจริงๆ ตายคืนวันนั้นล่ะ ตรงกันเป๋งเลยนะ แปลกอยู่ นู่นจำพรรษาอยู่ที่ศรีสงครามนั่งภาวนาอยู่ อา...น้องพ่อล่ะเอาจกหมายไปยื่นให้ ยื่นให้แล้ว "อะไร" ไม่ตอบ กลับออกไป มันก็ทราบภายในว่า พ่อเสียแล้ว เลยเล่าให้หมู่เพื่อนฟังว่า เมื่อเช้านี้ปรากฏอย่างนันๆ คอยฟังข่าวน่ะ ว่าพ่อเสียแล้ว เป็นอย่างไรให้จำเอาไว้ พอดีเสียคืนวันนั้น ไปบอกทางนิมิตภาวนาพ่อเสียแล้ว บอกกับหมู่เพื่อนเรื่องความฝันของเรา ๗ วันจดหมายก็ไปพอดีพ่อเสียแล้วในคืนวันนั้นจริงๆ
_______________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น