วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน : ประวัติ ตอนที่ ๙ องค์หลวงปู่มั่นแก้ความสงสัย เรื่องมรรคผลนิพพาน

เทศน์เมื่อ  ๒๒  พฤษภาคม  ๒๕๔๙



          พอขึ้นศาลาแล้วเอาล่ะ  ที่นี่เรียกว่าครั้งที่สองล่ะต่อไป   "ท่านมาหาอะไร"  ขึ้นเลย  "มาหามรรคผลนิพพานเหรอ  ชี้ไปเลยทางไหนๆ  ต้นไม้ ภูเขา ดิน ฟ้า อากาศ  ไม่ใช่กิเลส  ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน  ไล่ไปหมดทั่วแดนโลกธาตุ  ไม่ใช่กิเลส  ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน  กิเลสแท้  มรรคผลนิพพานแท้  อยู่ที่ใจ"   นั่นท่านชี้ลงนี้  "อยู่ที่ใจไม่อยู่ที่อื่น  ความสุข  ความทุกข์ทั้งหลายอยู่ที่ใจ  ไล่เขาไปนี้เลย  มหาเหตุ คือ กิเลสอยู่ที่นั่น  ไฟก็อยู่ที่นั่น  ธรรมอยู่ที่นั่น   เมื่อชำระได้แล้ว  ธรรมก็แสดงความอัศจรรย์ขึ้นมา  อยู่ด้วยกัน  อยู่ที่ใจๆ นั่นล่ะ"

          แล้วพอใจเอามากจริงๆ นะ  เหมือนว่าตัวพองเลย  เพราะไปด้วยความตั้งใจจริงๆ  เรื่องมุ่งต่อมรรคผลนิพพานมุ่งอย่างเต็มหัวใจ  จึงต้องเสาะแสวงหาครูอาจารย์ที่เป็นที่แน่ใจ  ว่าท่านแสดงออกมาเป็นที่แน่ใจแล้วว่า  มรรคผลนิพพานมีอยู่  เราจะกราบท่านถวายตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหาตลอดชีวิตทุกอย่างเลย   จากนั้นเราก็จะเอาตายเข้าว่าเลย  บำเพ็ญเพียรเพื่อมรรคผลนิพพาน  จะไม่มีคำว่าถอย

          นี่ล่ะท่านจะคงจะกางเรดาร์เอาไว้ดูความมุ่งมั่นของเรา  พอไปท่านก็ไล่เบี้ยเลย  ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ  ไล่อย่างเข้มข้นนะ  เหมือนว่ากางเรดาร์นั่นแหละ  แล้วท่านก็ไล่เบี้ยขึ้นมาๆ ลงมาหาจิตตภาวนา   "จิตตภาวนาเป็นที่จะบุกเบิกเพิกถอนสิ่งเลวร้ายทั้งหลายภายในจิตใจนี้ออกได้โดยสิ้นเชิง  อย่างอื่นถอนไม่ได้  อย่างอื่นดับไม่ได้"  ขึ้นเลย  "มีธรรมเท่านั้นถอนได้ดับได้  เอ้า ! ท่านเอาให้หนักทางจิตตภาวนานะ"   เราไม่ลืม  "เอาทางจิตตภาวนาอย่าถอย"

          จากนั้นท่านก็ขยายออกไปว่า  "นี่ก็อย่าว่าผมประมาทปริยัตินะ"  ท่านให้แง่ไว้ทั้งสองแง่  ก็เป็นความถูกต้องทั้งสองแง่เลย   "นี่ท่านก็นับว่าเรียนมามากพอประมาณจนถึงเป็นมหา  แต่อย่าว่าผมประมาทธรรมะพระพุทธจ้านะ  เวลานี้การศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยยังไม่เป็นประโยชน์  ให้ท่านพักบูชาไว้ก่อน  ให้ท่านเน้นหนักทางด้านจิตตภาวนา  อย่างไรจิตจะสงบร่มเย็นลงไปด้วยจิตตภาวนาให้เร่งนี้ให้มาก  ท่ายอย่าไปสนใจกับทางปริยัติที่ท่านเรียนมามากน้อย  เวลานี้ยังไม่เกิดประโยชน์  ถ้าไปสนใจนำปริยัติเข้ามาเกี่ยวข้องกันแล้ว  มันจะมาคละเคล้ากัน  แล้วเป็นข้าศึกต่อการก้าวเดิน  การบำเพ็ญธรรมไม่สะดวก  เวลานี้ให้ท่านพักไว้หมดปริยัติที่ท่านเรียนมามากน้อย  ให้ท่านเน้นหนักทางด้านจิตตภาวนา"   บอกชัดๆ อย่างนี้เลย  "ท่านอย่าไปเป็นอารมณ์กับการศึกษาเล่าเรียนมามากมาน้อยนะ"

          ไอ้เราก็เป็นคนตับเดียว  พอว่าอย่างนั้น  ก็ลงจุดนั้นเลย  ไม่ได้สนใจกับอะไร  เอาตั้งแต่ภาคปฏิบัติขึ้นทางด้านจิตใจ  ทีนี้ท่านบอกตอนท้ายอีกนะ   "เวลานี้ปริยัติ กับ ปฏิบัติ  ปริยัติยังไม่เกิดประโยชน์  ถ้านำเข้ามาพิจารณาคละเคล้ากันกับภาคปฏิบัติ  แล้วจะเกิดความสับสนปนเป  การก้าวเดินไม่สะดวก  จึงต้องพักปริยัติไว้เสียก่อน  เมื่อถึงกาลเวลา  ภาคปฏิบัติ กับ ภาคปริยัติ  จะวิ่งถึงกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่  นี่สำคัญตรงนี้นะ  เอาไว้ไม่อยู่"   ท่านว่า  "จะวิ่งถึงกันเลย"

          นี้้มันก็เป็นในเราเอง  พอถึงภาควิปัสสนา  ภาคปัญญา  ภาคสมาธิมีกำลังแล้ว   ออกทางภาคปัญญามุ่งฆ่ากิเลสที่นี่   แดนโลกธาตุนี้มันแคบไปนี่นะ   เรื่องของปัญญาฆ่ากิเลสมันพุ่งๆ วิ่งใส่ปริยัติ   ปริยัติกับปฏิบัติวิ่งประสานกันเอาไว้ไม่อยู่ไม่ผิดเลย  มันวิ่งหาหลักหาเกณฑ์  หาพยาน  ท่านบอกเอาไว้ไม่อยู่  ตรงแน่วเลย  เราไม่ลืมนะ  นี่ล่ะพอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง  ก็เพราะได้หยินได้อยู่กับท่าน  พอใจตั้งแต่ต้นเลย  อยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นตั้งแต่ต้นจนวาระสุดท้าย  ท่านหลุดมือไป  ท่านนิพพานไปก่อนเอาไว้ไม่อยู่  ท่านล่วงไปก่อน  เอาจนสุดท้ายการปฏิบัติท่าน

          เรื่องธรรม  เรื่องมรรคผลนิพพาน  อยู่กับศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหมด  อย่าพากันไปสงสัยที่ไหนเลย   ดังที่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านว่า  ต้นไม้ ภูเขา ดิน ฟ้า อากาศ  ไม่ใช่กิเลส  ไม่ใช่ธรรม   แล้วว่าไปหมดทั่วแดนโลกธาตุไม่ใช่กิเลส  ไม่ใช่ธรรม  ธรรมแท้  กิเลสแท้อยู่ที่จิต  เอ้า ! พิจารณาชำระกันนี้  ท่านจะเจอทั้งกิเลส  ทั้งธรรมที่นั่น  รื้อถอนกันได้ที่นี่ด้วยอำนาจแห่งธรรมจิตตภาวนา  แน่ะ ท่านชี้ลงไปจิตตภาวนา  แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็ถึงใจๆ  เรานี่ล่ะมรรคผลนิพพานอย่าไปหาดูต้นไม้  ภูเขาที่เป็นสภาพนั้นๆ ของเขาเอง   ให้ดูตัววุ่นวาย คือ กิเลสมันปิดบังหุ้มห่อจิตใจเอาไว้  ถ้าจะไปทางที่สะดวกเพือเป็นอรรถเป็นธรรม  มันกีดมันขวางไม่ให้ไป

_________________________________



ไม่มีความคิดเห็น: