วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน : ประวัติ ตอนที่ ๒ ขณะเรียนปริยัติก็ปฎิบัติภาวนาอย่างเงียบๆ

เทศน์เมื่อ ๑๙ กรกฏาคม ๒๕๔๘



          วัดสาลวันนี้  ตั้งแต่สมัยที่เราลงมาโคราชทีแรก ๒๔๗๙  ป่านั้นเป็นต้นไม่พุ่มๆ เป็นย่อมๆ  กุฏิพระเป็นหลังเล็กๆ ทั่วไป   หลวงปู่สิงห์ ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่น  ผมก็ลงไปพักที่วัดสาลวัน  เราพักวัดสาลวันบ้าง  วัดศรัทธารวมบ้าง  วัดศรัทธารวมเขาเรียกวัดป่าช้าที่สองบ้างอะไรบ้าง  วัดศรัทธารวมอยู่ทางด้านตะวันออกโคราช  วัดสาลวันก็อยู่นี้แหละ  แต่ก่อนต้นไม้เล็กๆ เป็นพุ่ม  คุณหลวงชาญถวายที่นั้นเป็นวัดสาลวัน   สร้างปี พ.ศ. ดูว่า ๒๔๗๕  พ.ศ. ๒๔๗๙   เราก็ลงไปที่นั่น  เพราะฉะนั้นจึงเป็นต้นไม้ย่อมๆ  เป็นสวนของคุณหลวงชาญ  พระก็เยอะนะ

          ตอนนั้นหลวงปู่สิงห์  ท่านเป็นเจ้าอาวาส  เราก็เป็นพระหนุ่มน้อยไปพักที่นั่น  วัดศรัทธารวมก็อาจาย์มหาปิ่น  น้องชายท่านหลวงปู่สิงห์นั่นล่ะ  ท่านอยู่ทางนู้น  พระก็มีมาก  ไล่เลี่ยกัน  วัดสาลวันมีมา  วัดศรัทธารวมมีน้อย  ไปมาหาสู่กันเดินทั้งนั้นนะนั่น  ไม่มีรถ  แต่ก่อนไม่มี  รถไม่มีเลยในโคราช  รถที่จะรับคนรับพระอะไรๆ ไม่มี   จากวัดศรัทธารวมมาก็เดินมา  จากสาลวัน-ศรัทธารวม   ไปไหนเหมือนกันเดินทั้งนั้นแหละ  ผมอยู่วัดสุทธจินดาที่กำลังเรียนหนังสืออยู่นั้น  ผมมันเรียนหลายสำนักเอาแน่ไม่ได้นะ  คนหลายสำนัก

          ตอนนั้นเรียนอยู่ที่วัดสุทธจินดา  พอวันว่าง คือ ว่างจากการเรียน  เป็นวันหยุด  วันพระ  วันอะไรอย่างนี้   ท่านมีประชุมกันในระยะนั้น  สี่วันประชุมทีหนึ่ง  ประชุมตอนบ่ายโมง  เราได้ไปฟังเทศน์ท่าน  ท่านอาจารย์สิงห์ท่านเทศน์  เพราะเราชอบทางปฏิบัติมาดั้งเดิม  ไปอยู่ไหนไม่เคยละภาคปฏิบัติ  พอว่างเมื่อไรก็เข้าป่าเลย  อย่างวัดสุทธจินดานี่ว่างปั๊บนี่เข้าป่า  ไปทางวัดป่าดงขวาง   อยู่ทางตะวันออกวัดสาลวันสงัดดี  ไปพักอยู่ที่นั่น  ไปภาวนา  ไปอยู่ทางเชียงใหม่ก็เหมือนกัน  พอโรงเรียนหยุดเมื่อไรเข้าป่าๆ  ทางนู้นไปทางสันกำแพง  สันป่าตอง  ไปที่ไหนหลายสำนัก  มันมีป่าเป็นสำนักป่าอยู่นั้น  ไปภาวนา

          แต่ไม่ได้บอกว่าภาวนานะ  ต้องบอกว่าไปดูหนังสือบ้าง  อะไรบ้างไปอย่างนั้น  ความจริงไปภาวนา  ดูหนังสือก็ดูอยู่แล้วในวัดนะ  ออกจากเรียนก็ไปภาวนา  จนกระทั่งได้ออกปฏิบัติ  คือเวลาเรียนหนังสือภาคปฏิบัติก็แฝงกันไป  แฝงกันไปอย่างเงียบๆ น่ะ   เราปฏิบัติอยู่ภายในวัดปริยัติ  เรียกว่าปฏิบัติอย่างเงียบๆ  ไม่ให้ใครรู้เลย เรื่องภาวนาไม่เคยเล่าให้ใครฟัง

          เดินจงกรม  ก็อย่างเคยเล่าให้ฟัง  ไปเผลอตัวเดินจงกรมตอนดึกๆ  หยุดเรียนหนังสือแล้วลงเดินจงกรม  พระเพื่อนฝูงเรามา  "ทำอะไร"  เราก็เซ่อไปหน่อยบอกว่า  "เดินจงกรม"  "เหอ ! จะไปสวรรค์เดี๋ยวนี้  ไปนิพพานเดี๋ยวนี้เหรอ  รอกันสักหน่อย  ให้เรียนเสร็จแล้วค่อยไปด้วยกัน"  นั่นมันแหย่  ก็แขนซ้ายแขนขวาเอาผิดกับใครล่ะ  ก็พวกเดียวกัน  ลิงเหมือนกัน  เราเผลอไป

          ตั้งแต่นั้นมาพลิกใหม่ เวลาดึกๆ  ลงเดินจงกรม  เพื่อนฝูงคนใดๆ  เดินผ่านมา  ทำอะไร  "อ๋อ ! เปลี่ยนบรรยากาศ  นั่งนานเหนื่อย  เปลี่ยนบรรยากาศ"  จะว่าเดินจงกรมไม่ได้  มันหยอกนะ  มันพูดหยอกแหย่นั้น  จะว่าผิดถูกอะไรก็ว่าไม่ได้  มันลำบาก

          เรื่องภาวนาไม่เคยเล่าให้ใครฟัง  อยู่เงียบๆ  อย่างนั้นล่ะ  มันหากเป็นอยู่ในจิตน่ะ  ฝังลึกๆ พูดให้ใครฟังไม่เหมาะทั้งนั้น  เก็บอยู่คนเดียวอย่างนี้เหมาะ  ก็เก็บจริงๆ ตลอดเวลาที่เรียนหนังสืออยู่ไม่เคยเล่าภาวนาให้ใครฟังเลย  ทั้งๆ ที่ทำประจำอยู่

________________________________

ไม่มีความคิดเห็น: