เทศน์เมื่อ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘
ที่เราได้พูดเรื่องสติให้บรรดาลูกหลานทั้งหลายฟังนี้ เราทำมาแล้ว เป็นที่ยอมรับในตัวของเราเองประจักษ์ไม่สงสัยแล้ว จึงเอาสิ่งที่แน่ใจนี้มาสอน เราเริ่มทีแรก คือ จิตเรามันเจริญแล้วเสื่อม ทีแรกจิตมันแน่นปึ๋งเหมือนภูเขาทั้งลูก เราไม่รู้จักวิธีรักษา เพราะทางไม่เคยเดินสิ่งที่ไม่เคยรู้ รู้ขึ้นมาก็ไม่รู้จักวิธีรักษา เมื่อไม่รู้จักวิธีรักษา จิตมันก็เสื่อม พอเสื่อมแล้วก็พลิกใหม่เอาใหม่ ตั้งแต่นั้นมาเจริญแล้วเสื่อมๆ อยู่อย่างนั้นตลอด ปีหนึ่งกับ ๕ เดือน อกจะแตก จิตเสื่อมนี้แหมทุกข์มากนะ จิตมีความแน่นหนามั่นคง จิตสงบเย็นตลอดเวลา แล้วมาเสื่อมไปเสีย มีแต่ไฟเผาแทนกันเลยเทียว อยู่ที่ไหนหาความสะดวกสบายไม่ได้ จึงได้ทบทวนพิจารณาดูตัวเอง
คือเวลาเรากำหนดเอาแต่ความรู้เฉยๆ ทีนี้สติมันอาจเผลอไปไม่รู้ตัว ขยับเข้าไป ๑๔-๑๕ วันขึ้นไปได้ พอไปอยู่นั้นได้เพียงสองคืนเสื่อม เสื่อมเหมือนกลิ้งครกลงจากภูเขา ผึงเลย ใครห้ามไม่อยู่ทั้งนั้น ลงผึงเลย เหลือแต่อีตาบัวไม่มีค่าเลย เอ้า ! ไสขึ้นไปอีก กว่าจะไปถึงนั้น ๑๔-๑๕ วัน ไปอยู่ได้คืนหรือสองคืนลง เป็นอย่างนี้ปีกับ ๕ เดือน เอ๊ ! เป็นยังไง ความทุกข์ก็ทุกข์มาตลอดปีกับ ๕ เดือน เป็นเพราะเหตุไรนา จิตของเราเจริญแล้ว เวลามันเสื่อมนี้ถึงเอาไว้ไม่อยู่
เรามาพิจารณาดูก็มาสะดุดเอาที่สติ เราอาจจะขาดคำบริกรรม คือตอนนั้นเรากำหนดแต่จิตเฉยๆ ไม่มีคำบริกรรมกำกับ จิตของเราอาจเผลอ สติของเราอาจเผลอไปได้ตอนนั้นกิเลสเข้าแทรกได้ จิตจึงเสื่อมได้ แต่นี้ต่อไปเราจะเอาพุทโธ นี่ตั้งใหม่นะ
กำหนดรวามมาหมดเรียบร้อยแล้วก็เอ้า ! ทีนี้ให้อยู่กับพุทโธ เอาคำบริกรรม พุทโธ นิสัยเราชอบพุทโธ คำบริกรรมนี้แล้วแต่นิสัยของใครชอบอันไหน เอาได้ทั้งนั้น เราชอบพุทโธ เลยเอาพุทโธติดเป็นคำบริกรรม ไม่ยอมให้จิตคิดออกไปไหนเลย จะให้อยู่กับคำบริกรรมคำเดียว มีสติบังคับเอาไว้ เช่น ช่องนี้กิเลส คือ สังขารมันปรุงออกมาจากอวิชชา มันดันออกมาให้อยากคิดอยากปรุง อยากรู้อยากเห็น อยากตลอดเวลาพุ่งๆ อยู่ตลอด
ทีนี้เวลาเอาคำบริกรรมเข้าไปปั๊บ ปิดช่องมันเลย แต่เราเอาจริงเอาจังนะไม่ได้ทำเล่น พอลงใจแน่แล้ว เอาล่ะทีนี่เราจะเอาวิธีนี้ เป็นตายก็วิธีนี้ให้เห็นเหตุเห็นผลกัน เรื่องเสื่อมก็ตาม เจริญก็ตาม เราจะปล่อยหมด มันจะเสื่อมก็ให้เสื่อมไป เจริญก็เจริญไป เพราะเรายุ่งกับมันนี้เป็นทุกข์แสนสาหัส ทีนี้เราจะไม่ยุ่ง แต่เราจะอยู่กับพุทโธคำบริกรรมคำเดียวไม่ให้เผลอ ตัดสินตัวเอง แน่ใจแล้วเหรอ แน่เอา ! ถ้าแน่ใจแล้วตั้งแต่บัดนี้ต่อไป เหมือนกับนักมวยจะต่อยกัน พอระฆังดังเป๋งก็ซัดกันเลย
อันนี้พอลงใจว่า เอาล่ะนะ คำบริกรรมกับสติติดแนบอยู่กับใจนี้เท่านั้นล่ะ เป๋งล่ะที่นี่ ไม่ให้เผลอเลย ตั้งแต่ตื่นนอนไม่ให้เผลอแม้ขณะเดียวไม่มี เอ้า ! อกมันจะแตกให้แต่ให้เห็น สติจะเผลอไปไม่ได้กับคำบริกรรมนี้ ซัดกันเลย นี่เห็นชัดเจน พี่น้องทั้งหลายฟังเอานะ ในวันนั้นเหมือนอกจะแตก เราจึงได้รู้ว่าสังขารตัวนี้มันปรุงออกไป ทำให้จิตเราเสื่อม มันคิดออกไป ไปกว้านเอากิเลสมาเผาเราๆ จิตเราจึงเสื่อมได้ ทีนี้เมื่อไม่ให้มันคิด ให้คิดแต่กับคำว่าพุทโธ พุทโธเป็นทางเดินของธรรม เป็นงานของธรรม สั่งสมธรรมขึ้นมาก็เป็นน้ำดับไฟล่ะซิ
พุทโธๆ ติดไม่ยอมให้เผลอเลย ตั้งแต่ตื่นนอนจนค่ำ ขณะไหนไม่ให้มีเลย ฟังซิ นี่ล่ะทุกข์มากที่สุด ทีนี้ความคิดนี้มันก็ดันขึ้นๆ วันแรกเหมือนอกจะแตก มันดัน มันจะคิดจะปรุง ไม่ให้คิด เป็นยังไงก็ไม่ยอมให้คิด จะมีแต่พุทโธๆ ติดตลอดเวลา วันนั้นทั้งวันเหมือนอกจะแตก จึงได้เห็นโทษของความคิดปรุงนี้มันดันถึงขนาดอกจะแตก มันออกไม่ได้ เพราะพุทโธปิดมันไว้ พอวันแรกผ่านไป วันที่สองต่อไปอีกแบบไม่ให้เผลอเหมือนกัน ติดตลอดตั้งแต่ตื่นนอนปั๊บจนกระทั่งถึงหลับไม่ให้มีเวลาไหนเผลอเลย เพราะอยู่คนเดียว พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ ท่านสั่งไว้ว่า "ให้ท่านมหาอยู่องค์เดียวนะ เผาศพแล้วจะกลับมาหา" ท่านว่าอย่างนั้น
เราก็พอดีได้จังหวะอยู่คนเดียว อยู่บ้านนาสีนวล ไม่ใช่วัดดอยธรรมเจดีย์นะ วัดบ้านเขา วัดร้าง เราอยู่ที่นั่น เอาอยู่นั่นเลยหลายวัน แต่ไม่ให้เผลอทั้งนั้น ที่มันหนักมากอกจะแตกลำดับหนึ่งแล้วลดลงมาๆ ค่อยเบาลงๆ ความคิดปรุงของสังขารที่ดันขึ้นๆ จนอกจะแตกนี้เบาลงๆ จิตนี้ก็ค่อยสงบเข้าไป เย็นเข้าไปๆ พุทโธถี่ยิบไม่ให้เผลอ สติติดแนบเลย จากนั้นมาจิตของเราก็ค่อยละเอียดๆ นี่ล่ะที่นี่เข้ามาถึงจุดนี้แล้วนะ พอมันไปเต็มที่แล้ว มันออกไม่ได้แล้วสังขารความคิด เพราะสติกับคำบริกรรมปิดแน่นเลยไม่ให้ออก ทีนี้ก็สร้างความร่มเย็น สร้างความสงบเข้ามาภายในใจ เย็นขึ้นๆ สังขารความคิดปรุงเบาไปๆ ทางนี้ค่อยเย็นขึ้นๆ คำบริกรรมไม่หยุด
พอถึงขั้นมันละเอียด พุทโธๆ ไปถึงจุดนี้แล้ว พุทโธหายเงียบเลย เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดสุดอยู่ในนั้น แล้วเกิดความงง งงก็ไม่ให้เผลอ นั่นน่ะฟังซิ เอ๊ะ ! ทำไมคำบริกรรม เราบริกรรมมาตลอด แล้วทำไมถึงบริกรรมไม่ได้ มันหายไปไหน ตั้งขึ้นมาก็ไม่ได้ เงียบเลย แต่ความรู้เด่นอยู่นะ ละเอียด เอ้า ! ถ้าบริกรรมไม่ได้ ให้อยู่กับความรู้อันนี้ด้วยสติอีกเหมือนกัน เผลอไม่ได้อีก ต่อกันไปเลย ทีนี้พอมันได้จังหวะแล้ว มันก็ค่อยคลี่คลายออกมา พอคลี่คลายออกมา บริกรรมได้ พุทโธได้ก็พุทโธๆ ติดเข้าไปอีก ทีแรกเวลาจิตละเอียดจริงๆ แล้วบริกรรมไม่ได้นะ หมด ให้อยู่กับความรู้อันนั้น พอจากนั้นมาคลี่คลายออกมาแล้ว บริกรรมเข้าไปอีก พอเข้าไปได้จังหวะมันละเอียดเข้าไปเต็มที่แล้ว มันก็หยุดอีก เราก็รู้วิธีต่อไป
ต่อไปจิตของเรานี้มันก็ค่อยเย็นขึ้นๆ เย็นขึ้นจนกระทั่งถึงที่ว่ามันเจริญแล้วเสื่่อม ได้คืนสองคืนเสื่อม เอ้า ! เจริญก็เจริญ เสื่อมก็เสื่อม คราวนี้จะเอาให้เห็ฯพริกเห็นขิงกันคราวนี้ พุทโธนี้จะไม่ปล่อย เจริญก็เจริญ มันจะเสื่อมพาลงนรก เราก็จะลงด้วยพุทโธของเรานี่ล่ะ ลงเลย ถึงนั่นแล้วแทนที่จะเสื่อมไม่เสื่อมนะที่นี่ อยู่นั่นล่ะ เอา ! เสื่อมก็เสื่อม ปล่อยเลยไม่เป็นอารมณ์ พุทโธกับสติติดแนบๆ แล้วก็ค่อยแน่นหนามั่นคงขึ้นๆ เรื่อยๆ ทีนี้ไม่เสื่อม นั่นเห็นไหม จังได้แล้วที่นี่ มันเคยไปอยู่ได้สองคืนเสื่อมลง ทีนี้ไม่เสื่อม ไม่เสื่อมก็ติดกันเรื่อยๆ แล้วละเอียดเข้าๆ จนกระทั่งฟาดนั่งหามรุ่งหามค่ำล่ะที่นี่
นี่ล่ะเราสรุปความให้ท่านทั้งหลายฟังว่า เรื่องความคิดความปรุงนี้ เวลามันดันออกมามากๆ นี้เหมือนนอกจะแตกนะ คือมันอยากคิดอยากปรุง นี่เรื่องของกิเลสออกทำงานเอาไฟมาเผาเรา อกจะแตกก็ตาม พุทโธไม่ถอย ต่อไปพุทโธก็สร้างธรรมขึ้นมาภายในใจ ใจก็สงบเย็นขึ้นไปๆ ความคิดความปรุงที่หนาแน่นแต่ก่อนเบาลงๆ สุดท้ายเบาไปเลย มีแต่ความสว่างไสวในจิตใจขึ้นเรื่อยๆ จำเอานะ
______________________________________
2 ความคิดเห็น:
สาธุ ดีมากๆครับ
สาธุ
แสดงความคิดเห็น