วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน : ประวัติ ตอนที่ ๑๘ พรรษา ๑๐ (พ.ศ. ๒๔๘๖) นั่งภาวนาตลอดรุ่งอีก

เทศน์เมื่อ  ๒๔  ธันวาคม  ๒๕๔๖



          นั่งภาวนา ท่านทั้งหลายฟังซิ  ผมโกหกไหม  ผมนั่งตลอรุ่งๆ นี้  เก้าคืน  สิบคืน  เว้นคืนหนึ่ง  สองคืน  นั่งตลอดรุ่งทีหนึ่ง  เว้นสองคืน  สามคืน  นั่งตลอดรุ่งๆ  ทีแรกกันเรานี้เหมือนเอาไฟเผา  ออกร้อนทั้งวัน  มันไม่แตก  พอคืนที่สองซ้ำเข้าไปนี้มันก็พอง  ก้นพอง  ต่อจากนั้นไปแตก  จากแตกแล้วเลอะ  นั่นกันแตกเลอะ  นั่งภาวนาไม่มีหยุดเลย  ตั้งคำสัตย์คำจริงเอาตายเท่านั้นเข้าว่าเลย  เอาคำสัตย์คำจริงบีบบังคับ  เราจะนั่งตั้งแต่บัดนี้ถึงตลอดรุ่งเป็นวันใหม่อย่างน้อย  เราถึงจะออก  ถ้าไม่ถึงเวลาแล้ว  เราจะไม่ยอมออก  ตายก็ตายไปเลย  จะได้เห็นเรื่องกับกิเลส  ฟัดกิเลสตอนจนตรอกจนมุม  ใครจะเก่ง  ใครไม่เก่งจะให้รู้กันตอนนั้น

          เรามีข้อยกเว้นตั้งแต่ครูบาอาจารย์  หรือพระเณรในวัดเกิดอุบัติเหตุในเวลานั้น  เราจะออกจากที่นี้ไปช่วยเหตุการณ์อันนั้นเท่านั้น  นอกจากนั้นไม่มีคำว่ายกเว้น  จะปวดหนักเอาออกเลย  จะปวดเบาออกเลย  อะไรจะเป็นอะไร  เป็นว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อคำสัตย์คำจริงที่เราตั้งใจไว้ว่านั่งตลอดรุ่งนี้ได้เลย  พุ่งๆ ความเพียร  ความทุกข์  เอ้า ! ใครลองดูซิน่ะ  ให้รู้ล่ะนั่งตลอดรุ่งนี้เป็นยังไง  ตั้งแต่เริ่มมืดจนกระทั่งเป็นวันใหม่ขึ้นมา  ๑๒ ชั่วโมง  บางวันถึง ๑๓ ชั่วโมง  ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย  ไม่มี  ปวดหนักปวดเบาไม่มีข้อแม้

          มันจะหาทางออก  เวลามันจะตาย  เดี๋ยวปวดหนัก  เดี๋ยวปวดเบา  มันจะหาทางออก  เราบังคับไว้หมดเลย  มีตายเท่านั้นกับสว่าง  สว่างเป็นวันใหม่แล้วเราจะลุก  ถ้าไม่เป็นวันใหม่เราจะไม่ลุก  นี่ล่ะคำสัตย์คำจริงที่ได้มัดตัวเอง  จึงได้เกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในเวลาจนตรอกจนมุม  เวลาเรานั่งภาวนานี้  ถ้าเป็นภาพพจน์แล้ว  ก็เหมือนกับว่า  เราที่นั่งอยู่นี่เป็นเหมือนหัวตอ  ความทุกข์ทรมานทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเวลาเรานั่งนั้นน่ะ  มันเหมือนกับเป็นเปลวไฟรอบตัวเรา  เราเป็นซุง  หรือว่าเป็นตอไม้ให้ไฟ  คือ  ความทุกข์  ความทรมานทั้งหลายเผาอยู่ขนาดนั้น  ไม่ยอมลุก  เอาๆ จะเป็นจะตายก็ให้มันเป็นมันตาย  ซัดกันเลย  พิจารณาไม่ถอยนะ

          เวลาความทุกข์มากเท่าไรนี้  สติปัญญาจะหยุดอยู่ไม่ได้ทนเอาเฉยๆ ไม่ได้  ต้องทนด้วยสติปัญญาฟัดกันกับความทุกข์ความทรมาน  แยกธาตุ  แยกขันธ์  แยกหนัง  เนื้อ  เอ็น  กระดูก  ตับ  ไต  ไส้  พุง  อะไรเป็นทุกข์  อะไรเกิดขึ้นจากอะไรนี้ไล่กันไป  ไล่กันมาว่าหนัง  เนื้อ  เอ็น  กระดูก  เป็นทุกข์  เวลาตายแล้วหนัง  เนื้อ  เอ็น  กระดูก  มีอยู่เอาไปเผาไฟเขาว่าไง  เขาไม่เห็นว่าอะไร  นี้มันเป็นกับอะไรมันถึงได้เดือดร้อน  ว่าร้อน  ว่าทุกข์  ว่ายาก  มันเป็นกับอะไรไล่เข้าหาจิต  จิตเป็นตัวสำคัญมั่นหมาย

          กายก็เป็นกาย  ทุกข์ก็เป็นทุกข์  แล้วจิตก็เป็นจิต  มันไปหมายอะไร  ไปหาโทษเรื่องอะไร  ตัวของมันเป็นโทษเต็มตัวมันไม่ดู  นี่ว่าให้จิต  หาดูตามหลักความจริง  แยกไปแยกมา  เวลาทุกข์มากเท่าไรนี้จิตจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้นะ  จะต้องหมุนเป็นกงจักรไปเลย  หมุนเป็นสติ  หมุนเป็นปัญญา  ฟัดกัน  พอมันรอบของมัน  พิจารณาธาตุขันธ์ต่างๆ  รู้ตามความเป็นจริงแล้ว  จิตมันก็พรึบเลย  รวาม  นั่นเห็นไหมล่ะ  บางครั้งรวมหรือดับหมดเลย  เหลือแต่ความแปลกประหลาดหรือความอัศจรรย์สุดที่จะคิดอยู่ภายใน  ร่างกายหายหมดเลยไม่มีคำว่า  "ทิศใต้  ทิศเหนือ  ทิศไหนไม่มี"  เหลือแต่ความรู้อันเดียว  ไม่มีอะไรมาเป็นสอง  ว่างั้นเถอะ

          นี่อัศจรรย์ไหม  ธรรมชาติที่ปรากฏอยู่เด่นๆ  อันเดียวไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง  นั้นล่ะเป็นธรรมชาติที่อัศจรรย์ในเวลานั่งตลอดรุ่งนั้น  แม้จิตจะยังไม่หลุดพ้นก็ตาม  ความอัศจรรย์ขนาดไหนที่ปรากฏขึ้นกับจิตในเวลาเรานั่งภาวนาตลอดรุ่ง  เห็นชัดเจนๆ  เวลาลงอย่างงั้นแล้ว  ทุกข์นี่หายหมดเลย  ที่ไล่เบี้ยกันอยู่ด้วยสติปัญญา  แยกธาตุ  แยกขันธ์  แยกทุกข์  แยกอะไรอยู่นั้นพอมันรอบตัวของมันแล้ว  จิตก็ลงปึ๋งเลย  ร่างกายหายเงียบเลยไม่มี  ทุกข์ทั้งหลายดับหมด  เหลือแต่ความปรากฏ  พูดได้แต่ว่าปรากฏ คือ ปรากฏเป็นความอัศจรรย์อันเดียวเท่านั้น  จะมีสองเข้าไปแทรกไม่ได้  จึงบอกว่ามีแต่ความปรากฏ  อะไรๆ ไม่มีเวลานั้น

          นู่นจนกระทั่งมันได้เวลาของมันแล้ว  มันก็ยุบยิบๆ ถอยขึ้นมา  พอถอยขึ้นมา  ร่างกายตอนจิตถอนขึ้นมาใหม่ๆ  มันไม่เป็นทุกข์นะ  ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่จิตจะลงนั้นมันเป็นทุกข์  ทุกข์แทบเป็นแทบตาย  แต่คำสัตย์คำจริงนี้บีบบังคับไว้  เอาตายเป็นเกณฑ์เลย  คำสัตย์บีบลงกระทั่งถึงตาย  ทีนี้พอจิตถอนขึ้นมา  ร่างกายไม่ทุกข์นะเงียบเลย  พอนั่งเข้าไป  พิจารณาเข้าไป  สักเดี๋ยวร่างกายเป็นทุกข์ขึ้นมาอีก  เป็นทุกข์ขึ้นมาอีก  พิจารณาอีกอย่างนั้นล่ะ  แต่เราจะไปเอาสัญญาอารมณ์ของความรู้ของเราที่พิจารณามาแล้วนั้น  มาเป็นอารมณ์แก้กิเลส  แก้ทุกข์ในเดี๋ยวนั้นไม่ได้นะ  ต้องคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาใหม่  มันจะเป็นของเก่าก็ตาม  ขอให้เกิดขึ้นปัจจุบันๆ เป็นธรรมทั้งนั้นๆ พิจารณาลงอีก

          บางคืนลงได้สามหนก็มี  บางคืนลงได้แค่สองหนก็มี  ลงได้นานได้ช้ามีต่างกันบ้าง  แต่ลงถึงขั้นอัศจรรย์เหมือนกันหมด  ถ้าลงถึงนั้นแล้วเงียบไปเลย  มันมีอยู่อีกอันหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติได้พบได้เห็นจากการปฏิบัติของตน  คือลงแบบดับไปหมดเลย  นี่อันหนึ่งนะ  อันหนึ่งนี้ลงไปถึงแดนอัศจรรย์นั้น  แต่มันไม่ดับวูบนะ  ลงๆๆ พอรู้แล้วมันหดตัวเข้ามาสู่แดนอัศจรรย์นั้น  ร่างกายทุกส่วนยังมี  ยังรู้สึกอยู่  ทุกข์จะมีอยู่ในร่างกายก็ตาม  แต่ทุกข์ในร่างกายกับจิตดวงนั้นไม่ประสานกัน  ไม่ซึมซาบกัน  นี่ประการหนึ่ง  ถึงทุกข์จะเป็นขนาดไหนก็ไม่ทำจิตใจให้กำเริบเลย  นี่ประการหนึ่ง

          มันเป็นได้สองภาคสำหรับผมเองนะ  ซึ่งไม่เคยเรียนจากผู้ใด  เรียนโดยลำพังตนเอง  เห็นขึ้นมาสองประเภท  ก็พูดได้อย่างเต็มปากเพราะมันเกิดกับเรา  เวลาลงผึงทีเดียวนั้นก็มี  เวลารู้รอบหมดแล้วจิตหดเข้ามาลงที่อัศจรรย์  ร่างกายยังมีความรู้สึกอยู่ก็มี  จะมีทุกข์มีอะไรบ้างนิดๆ หน่อยๆ มันไม่เป็นพิษเป็นภัยล่ะ  ถ้าลงจิตใจได้ลงถึงขั้นนั้นแล้วนะ  นี่ก็มี  แล้วการลงนี้มีช้ามีเร็วต่างกัน  ถ้าวันไหนเราพิจารณารอบคอบ  สติปัญญาของเราคล่องตัวๆ  พิจารณาเรื่องทุกขเวทนาทั้งหลายนี้ลงได้อย่างรวดเร็วๆ  จิตลงๆ พอถอนขึ้นมาพิจารณาก็ลงวันเช่นนั้นร่างกายจะไม่บอบช้ำ  พอลุกจากที่แล้วเดินไปเลย

          แต่วันไหนที่บอบช้ำ  ฟัดกันจนกระทั่งถึงเป็นถึงตาย  เวลาจะออกจากที่นี้  มันตายหมดแล้ว  บั้นเอวลงไปนี้ตายหมดเลย  ร่ากายดีแต่ส่วนนี้ขึ้นไป  เวลาเราลุกนี่ล้มตูม  ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น  คืนแรกผมเป็นอย่างนั้น  มันตายหมด  ต้องปล่อยไว้นั้นก่อน  จนกระทั่งแข้งขาของเราคู้เข้ามาดู  เหยียดดู  กระดิกนิ้ว   ถ้ามันยังเฉยอยู่อย่าลุก  ลุกก็ล้ม  ต่อไปมันก็รู้วิธีปฏิบัติต่อกันเองระหว่างทุกขเวทนา  ร่างกายของเราที่ขนาดตายไปแล้ว  แล้วมันเป็นยังไงก็รู้เอง  ต่อมาพอมันรู้เรื่องมันกระดิกพลิกแพลง  คู้เข้าเหยียดออกได้แสดงว่าไปได้แล้วที่นี่ ไป

          วันเช่นนั้นเป็นวันพิจารณาลำบากมาก  ถ้าวันไหนพิจารณาได้เป็นความสะดวกลงผึงๆ  พอถึงเวลาเท่ากันก็ตามนะ  วันนั้นจะไม่บอบช้ำเลย  ลุกจากที่ไปเลย  ทำหน้าที่การงาน  เดินจงกรมอะไรไปได้สะดวกสบาย  ไม่บอบช้ำมากมายเหมือนวันไหนที่พิจารณากันยากๆ  นี่ผมก็เคยทำมา  จนกระทั่งคืนแรกก้นมันออกร้อนเป็นไฟเผากันเลย  นั่งอยู่กลางวี่กลางวันออกร้อนจะเป็นจะตาย  แล้วเว้นไปสักสองคืนหรือสามคืนนั่งอีก  เอาอีกไปตลอดรุ่งๆ  ทีนี้ทีแรกมันออกร้อนกัน  ต่อมามันก็พอง  คืนต่อไปมันก็พอง  จากพองมันก็แตก  คืนต่อไปเรื่อยๆ จากแตกมันก็เลอะ  นั่นเห็นไหมจิต  ฟัดกันอย่างงั้น  จนกระทั่งพ่อแม่ครูอาจารย์มาหักห้าม  หรือมากระตุกอย่างแรง

_____________________________________


ไม่มีความคิดเห็น: