วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน : ปรวัติ ตอนที่ ๒๑ การพิจารณาธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ

เทศน์เมื่อ  ๕  มกราคม  ๒๕๑๙






















          เรื่องความตายนี้มันไม่กลัวเลย  ก็จะเอากลัวมาจากไหน  ความตายก็เป็นธรรมดา  คือ ปัญญาแยกแยะลงไป  จนกระทั่งอันไหนมันตาย  ผม  ขน  เล็บ  ฟัน  หนัง  เนื้อ  หนัง  กระดูกนี้  มันเป็นส่วนธาตุเดิม  ธาตุดิน

          ธาตุดินนี้มันตายเมื่อไร  สลายลงไปแล้วเป็นอย่างไร  กำหนดตามลงไปก็รู้ว่า  ลงไปสู่ธาตุเดิมของมัน  ธาตุน้ำก็ลงไปสู่ธาตุน้ำตามเดิมของมัน  ธาตุลม  ธาตุไฟก็ลงไปสู่ธาตุเดิมของตนเท่านั้น  ไม่ได้มีอะไรฉิบหาย  มีแต่เพียงว่าธาตุเหล่านี้มาประชุม  หรือมาผสมเข้ากันเป็นก้อน  อาศัยจิตเข้าไปสิง  ตัวเจ้ามหาหลงเข้าไปสิงเท่านั้น  ก็ไปแบกเอาหมด  นี่เป็นตัวของตน  ไปจับจองเอา  นี่เป็นเรา  นี่เป็นของเรา  จึงไปกอบโกยเอาทุกข์ทั้งมวลแบบรับเหมาหมด  ด้วยความสำคัญอันนั้นเข้ามาเผาลนตนเองเท่านั้น  ไม่มีอย่างอื่น

          ตัวจิตนี้เองเป็นนักโทษ  ธาตุขันธ์เขาไม่ได้เป็นนักโทษ  เขาไม่ได้เป็นตัวข้าศึกอะไรแก่เรา  เขามีความจริงของเขาอยู่อย่างนั้น  แต่เราไปแบกไปหาม  ไปสำคัญต่างหาก  ความทุกข์จึงเป็นเราเป็นผู้ผลิตขึ้นมาเอง  สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ผลิตให้เรา  ไม่มีอะไรมาให้ทุกข์แก่เรา  แน่ะ  มันเข้าใจอย่างนี้  เราเองเป็นผู้สำคัญผิด  เป็นผู้ทุกข์  เพราะสำคัญผิดเป็นเหตุ  ให้เป็นทุกข์เกิดขึ้นมาเผาลนจิตใจให้เดือดร้อน  เห็นได้ชัดว่า  ไม่มีอะไรตาย

          จิตก็ไม่ตาย  มันยิ่งเด่น  พิจารณาธาตุสี่  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ลงถึงธาตุเดิมของเขาเต็มที่แล้ว  จิตยิ่งเด่นชัด  คำว่า "ตาย"  ที่ไหนตาย  อะไรตาย  อาการเหล่านี้มันก็ไม่ตาย  ธาตุสี่  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ก็ไม่ตาย  จิตล่ะมันตายอย่างไร  จิตยิ่งรู้  ยิ่งเด่นยิ่งเห็นได้ชัด  อันนี้มันก็ไม่ตาย  แล้วมันกลัวตายอะไร  อ๋อ ! นี่หลอกกัน  นั่นแน่ะ  หลอกันมาตั้งกับตังกัลป์  ความจริงแล้วไม่มีอะไรตาย

          คำว่า "หลอก"  นี่ไม่ได้หมายความว่าด้วยเจตนา  หลอกเพราะความหลงพาเป็นต่างหาก  กลัวตาย  อ๋อ ! โลกกลัวตาย  กลัวอย่างนี้เมื่อเรียนไม่ถึงความจริงของมัน  เพราะไม่ทราบอะไรตาย  ก็มันไม่มีอะไรตายนี่  ต่างอันต่างจริงอยู่เพียงเท่านี้  รู้ชัดเจน  จิตมันประกาศตนโดยธรรมชาติ  เห็นความอัศจรรย์ทุกครั้งอย่างเด่นชัด

          เวลามันดับหมดจริงๆ ด้วยการพิจารณา  ทั้งๆ ที่ทุกขเวทนามันเหมือนจะส่งตัวไปถึงเมฆนั่นแน่ะ  ความทุกข์ความร้อนเป็นฟืนเป็นไฟภายในร่างกาย  แต่แล้วมันก็ดับลงด้วยอำนาจของสติปัญญาอย่างราบ  ไม่มีอะไรเหลือเลย  ร่างกายก็ดับไปด้วยกันในความรู้สึก  ไม่ปรากฏเลย  เลยเป็นความรู้อันเดียว  เหมือนอยู่ในกลางอากาศ  แต่ก็ม่ไปเทียบกันเวลานั้น  มันว่างไปหมด  แต่ความรู้นั้น  รู้อยู่ชัดเจน  มีอันเดียวเท่านั้น  สิ่งที่แปลกในโลกนี้มีอันเดียว คือ ใจ

          ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  กับ  ใจ   ไม่สัมผัสสัมพันธ์  จึงหมดความรู้สึกจากดิน  จากน้ำ  จากลม  จากไฟ  จากร่างกายทุกส่วน  เหลือแต่ความรู้อยู่ลำพังตนเองล้วนๆ  เป็นความรู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเลย  เป็นความรู้ที่อัศจรรย์จากการพิจารณารอบคอบแล้วถอนตัวออกมาจากสิ่งเหล่านั้น  เด่น  ชัดเจน  อัศจรรย์   ถ้าลงจิตได้เป็นเช่นนั้นแล้ว  แม้จะเป็นอยู่สักกี่วันกี่คืนก็ตาม  ก็ไม่มีความหมายถึงทุกขเวทนาว่า  ร่างกายจะแตกจะดับ  หรือจะเจ็บจะปวดที่ไหน  มันไม่มี  จะเอาอะไรมามี  กาล  สถานที่ไม่มีในขณะจิตนั้น

          นี่ก็ทำให้หยั่งถึงเรื่องพระสาวก  หรือพระพุทธเจ้า  หรือพระปัจเจกพระพุทธเจ้า  ท่านเข้านิโรธสมาบัต ๗ วัน  ท่านถึงออก  เข้าเท่าไรก็เข้าได้  ถ้าลงจินไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรเลยเช่นนั้น  เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ  ซึ่งสักแต่ว่าปรากฏขึ้นนี้เท่านั้น  ไม่มีกาล  สถานที่เข้าไปเกี่ยวข้อง  จะนั่งอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็นั่งเถอะ  แม้ร่างกายทนไม่ไหว  มันจะแตกก็สลายไปเฉยๆ นั่นแน่ะ  โดยไม่กระทบกระเทือนถึงธรรมชาตินั้นเลย

          ทีนี้จิตยอมรับแล้ว  เชื่อจริงๆ  ในการเข้านิโรธสมาบัติได้เท่านั้นวันเท่านี้วันของท่านผู้วิเศษทั้งหลาย  ลงถึงจิตชั้นนี้แล้ว  ไม่ถอนตัวออกมาสู่อะไรๆ  เข้าไปกี่วันกี่เดือนก็ไม่รู้ความหมายอะไร  ร่างกายมันมีสุขมีทุกข์ที่ไหน  ไม่มีเลย  ร่างกายมันไม่มีความรู้สึก  เวทนามันก็ไม่มีความรู้สึก  เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ นั่งอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็นั่งได้  ถ้าเป็นอย่างนี้ทำให้เชื่อถือเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้า  ท่านเข้านิโรธสมาบัติเลยถืออันนี้เป็นหลักฐานยืนยันภายในจิต  ใครจะว่าบ้าก็ว่าไป  ปากเขามี  หูเรามี  อยากฟังก็ฟังไป  ไม่อยากฟังก็เฉยเสีย  เรื่องนี้เรื่องนั้นก็รู้ไปเห็นไป  ไม่มีใครผูกขาดนี่

          แม้เราจะไม่นั่งไปนานก็ตาม  แต่ขณะจิตที่มันสงบด้วยขนาดนั้นชั่วระยะเดียว  ก็พอเป็นหลักฐานพยานได้กับท่านที่เข้าสู่นิโรธสมาบัติได้เป็นเวลานานๆ เพราะเป็นลักษณะนี้  ลักษณะที่ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเลย  ร่างกายก็มีแต่ร่างกาย  เปื่อยพังไปหมด  มันทนไม่ไหว  เพราะร่างกายมันเป็น  อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา   มันก็เปื่อยไปเฉยๆ  โดยที่จิตนั้นไม่รับทราบเลย  มันเป็นขั้นที่เกิดขึ้นด้วยสติปัญญา

          นี่เป็นขั้นของปัญญาอบรมสมาธิ  คือจิตดวงนี้มันเต็มภูมเต็มฐานของความสงบเช่นนั้น  เพราะปัญญาค้นคว้าอย่างเต็มเหตุเต็มผลแล้ว  รวมลงไปนี้รวมอย่างองอาจกล้าหาญ  รวมอย่างละเอียดมากทีเดียว  ลำพังจิตที่เต็มไปด้วยกำลังของสมาธิ  กำหนดแล้วลงไปเลยนั้น  มันแน่วอยู่อย่างเดียวเท่านั้น  ไม่ได้ลึกซึ้งละเอียดเหมือนอย่างนี้  แต่จิตที่สงบลงด้วยอำนาจขอปัญญานั้นละเอียดทุกครั้งไป  ถ้าลงได้ตะลุมบอนขนาดนี้แล้วเป็นผลขึ้นมา  จะต้องสงบเต็มที่  ดังที่เป็นอยู่นี้

          นี่เป็นรากฐานหรือเป็นต้นทุนแห่งความอาจหาญ  หรือเป็นเชื้ออันสำคัญที่ให้เกิดความเชื่่อมั่นในเรื่องของจิต  อะไรจะสูญสิ้นไปเพียงไรก็ตาม  แต่ธรรมชาติที่รู้นี้ไม่สูญ  เห็นได้ชัดเจน  เห็นก็เห็นกันอย่างชัดเจน  ในขณะที่ไม่มีอะไรเข้าเกี่ยวข้องเลยในความรู้สึกนั้น  มีสักแต่ว่ารู้อันเดียวเท่านั้น  จึงเด่นมาก  นี่จะว่าขั้นสมาธิหรือขั้นปัญญา  มันพูดไม่ถูกนะ  เวลาจิตเป็นจริงๆ เป็นอย่างนั้น

          แต่นั้นมาก็เรื่อยๆ  พิจารณาเรื่อย  ออกทางปัญญานี้  ขยับขยายออกอย่างกว้างขวางแล้วก็ย่นเข้ามา พอเข้าใจเป็นลำดับลำตาแล้วจิตก็ปล่อยเข้ามา  ปล่อยเข้ามา  ย่นเข้ามา  เข้าวงแคบๆ มาเรื่อยๆๆ  พิจารณาถึงธาตุถึงขันธ์  แยกธาตุแยกขันธ์   ทีนี้จะเริ่มเป็นสมุจเฉทปทาน  คือ  จะละกันได้โดยเด็ดขาด  จากการพิจารณาในวาระต่อมานั้น  มันชนะกันได้ชั่วกาล  พอให้เป็นหลักฐานพยานยืนยันได้เท่านั้น  ในเวลาที่เรายังพิจารณามันไม่เด็ดขาด  ยังไม่เป็นสมุจเฉทปทาน  เวลาพิจารณาทางด้านปัญญานี้  มันเข้าใจได้ชัด  ขาดออกจากกัน  ถอนออกจากกัน  ขาดออกเป็นลำดับๆ  ขาดไม่มีชิ้นต่อ  ขาดไปโดยลำดับๆ  เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ


________________________________________



      


ไม่มีความคิดเห็น: