แม่รับปากว่า แม่จะปฏิบัติธรรมทุกวัน มากบ้างน้อยบ้างก็จะไม่ให้ขาด แม่เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง จะไปวันไปพรุ่งก็ยังไม่รู้ เมื่อก่อนแม่เป็นคนคิดมาก ห่วงลูกห่วงหลาน คิดครั้งใดใจมันทุกข์ทุกที
คิดไปแม้กระทั่งว่า ทำไมลูกคนนั้นไม่มาเยี่ยมเราบ้าง
ลูกคนนี้บอกว่าจะมาจนป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มา คิดไปใจก็เฝ้าแต่คอยรอ รอคอย
ก็ไม่เห็นมา ก็เริ่มบ่นว่าให้ทุกข์ร้อนใจ รับปากแล้วก็ไม่มา
เป็นการตัดพ้อด้วยความน้อยใจ
แต่ตอนนี้ แม่วางใจใหม่ คิดใหม่ เขาว่างเขาก็มา เขาไม่ว่างก็ไม่มา ทุกคนทุกครอบครัว
ทุกชีวิตก็ต้องดิ้นรนทำมาหากิน ต้องมีภาระรับผิดชอบครอบครัวตัวเองกันทั้งนั้น
ตอนนี้เลิกคิดแล้ว คิดแต่เพียงว่า บุญกุศลใดที่แม่ได้ทำมา
ก็ขอให้ลูกหลานทุกคนเจริญรุ่งเรือง เป็นคนดีของพ่อแม่ เป้นคนดีของสังคม
เดินทางไปเหนือล่องใต้ ก็ขอให้ปลอดภัยกันทุกคน
คิดแล้วต้องให้หันกลับมามองตัวเองด้วยว่า
เราเตรียมเสบียงพร้อมแล้วหรือยัง เราจะต้องเดินทางอีกในไม่ช้านี้แล้ว
ต้องเพียรฝึกหัด ปฏิบัติธรรมรู้กายใจ เพื่อให้ได้เสบียงไว้เป็นทุนกุศล
ที่จะได้ติดตัวเราไปในการเดินทางที่ยาวไกลดีกว่า
แม่เปรยขึ้น “ธีรยุทธ เคยเล่าให้แม่ฟังว่า หลวงพ่อมนตรีท่านเปรียบ โลกนี้เหมือนโรงแรม
เมื่อเราเข้าไปพัก ผ้าห่ม ที่นอน หมอน ผ้าขนหนู ตู้ โต๊ะ เตียงนอน ทีวี
มีให้หมด เราสามารถใช้ได้ แต่พอออกจากโรงแรม เราจะเอาอะไรออกมา ไม่ได้เลย”
โลกมนุษย์ก็เหมือนโรงแรม เขาให้เรามาพักอาศัยอยู่ชั่วคราว
ถึงเวลาก็ต้องจากไป สำคัญอยู่ที่ว่า เราจะพักโรงแรมไหนต่อ โรงแรมสุคติภูมิ
โลกสวรรค์ หรือโรงแรมอบายภูมิ โลกนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
ขึ้นอยู่กับเสบียงบุญ เสบียงบาป ที่เราได้สั่งสมมา คิดดูแล้วชีวิตช่างน่ากลัวนัก
ใครจะรู้ว่าเราจะไปไหนต่อ สถานที่ที่เราจะไปจะเป็นอย่างไร
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
“เส้นทางนี้เรามาคนเดียว เวลาไปก็ไปคนเดียว เป็นทางสายเปลี่ยว
ที่ต้องเดินคนเดียว” ขณะที่ท่านอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ ชีวิตของแม่อาจยังอยู่
หรือลาลับดับกายใจจากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยอาการหลับที่สงบ เป็นการหลับที่ไม่ตื่นอีกต่อแล้วก็ได้
เวลาของเราเหลือน้อยนัก น้อยจนมีความรู้สึกว่า จะมัวโอ้เอ้ ชักช้าอยู่ไม่ได้แล้ว
“ขอให้ท่านทั้งหลาย
จงมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง จงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทเถิด”(จากหนังสือ สอนแม่ฝึกหัดปฏิบัติธรรม โดย ธีรยุทธ เวชเจริญยิ่ง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น