เช้าวันนี้ ดูหน้าตาแม่ไม่ค่อยสดใสนัก “แม่เป็นอะไรหรือครับ”
“แม่ปวดหัวเข่า เดินไม่ค่อยไหว ไม่รู้จะเดินได้หรือเปล่า
ถ้าเดินไม่ได้ต่อไปจะทำยังไง กลัวจะต้องนอนบนเตียง ขยับเขยื้นเคลื่อนกายไปไหนมาไหนไม่ได้
ต้องกินต้องฉี่ ต้องอีบนเตียงช่วยตัวเองไม่ได้ ต่อไปก็ยิ่งเป็นภาระให้กับลูกหลาน
เมื่อไหร่มันจะตายๆ ไปเสียที”
แม่เล่นระบายความรู้สึกที่อึดอัดอัดอั้นตันอุราออกมาเสียชุดใหญ่
ผมจึงพูดปลอบใจแม่ว่า
“พระพุทธองค์เปรียบคนแก่เหมือนดั่งเรือรั่ว แม่ก็เหมือนเรือรั่ว นับวันมันก็จะค่อยๆ จมลง”
แม่พูดแทรกขึ้นว่า
“แล้วเมื่อไร เรือลำนี้รูมันจะใหญ่ๆ จะได้จมไวๆไปๆ เสียที” แม่พูดเหมือนโลกนี้มันไม่โสภาไม่น่าอยู่เสียแล้ว
“แม่ครับ...แม่เคยได้ยิน คำโบราณท่านว่าไว้ มั้ยครับ
ยามเจ็บไข้ ใครใคร ก็อยากหาย
เจ็บเจียนตาย ใครใคร ไม่อยากอยู่
ต้องหาใคร เยียวยา คอยเฝ้าดู
แต่พอรู้ ว่าใกล้หาย ลืมตายเลย”
แม่อมยิ้ม แล้วตอบว่า “จริง จริง”
“เห็นมั้ยครับที่แม่อยากตาย เพราะกายมันเจ็บ
พอกายหายเจ็บมันก็อยากอยู่ต่อ แม่ดูแบบนี้สิครับ ความเจ็บอยู่ที่หัวเข่า
ใจมันอยู่อีกส่วนหนึ่ง ใจมันไม่มีหัวเข่า แข้งขา
แต่ทำไมปวดเข่าต้องปวดใจทุกข์ใจด้วย เพราะเราเข้าใจผิด เห็นผิดว่าเข่าฉัน ขาฉัน
เรายึดว่ามันเป็นของเรา ที่เข่าขาคนอื่นปวดเจ็บ หรือขาดกระเด็น
เราไม่เห็นต้องทุกข์ร้อนเลย เพราะนั่นมันไม่ใช่ขาของฉัน”
“เห็นมั้ยครับ...
มีฉันจึงต้องแสวงหาความสุขให้ฉันและต้องพยายามหาทุกอย่าง
เพื่อมาบำรุงบำเรอฉัน
เพื่อให้ฉันได้มีได้เป็นอย่างที่ต้องการ”
“แท้ที่จริง อาการปวด ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันกำลังทำหน้าที่ของมันไป
เดี๋ยวก็ปวดมาก เดี๋ยวก็ปวดน้อย เดี๋ยวก็ปวดถี่ๆ เดี๋ยวก็ปวดห่างๆ บังคับมันไม่ได้ ส่วนใจก็มีหน้าที่รู้ มีหน้าที่ดูตามที่มันเป็น ถ้าแม่เพียงแค่เฝ้ารู้เฝ้าดู
ด้วยใจที่เป็นกลางโดยไม่หลงเข้าไปยินดียินร้ายกับมัน แม่ก็จะไม่ทุกข์ใจ แต่กายยังทุกข์
ยังปวดอยู่นะครับและถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าไอ้เจ้าความปวดมันก็ไม่เที่ยง
เปลี่ยนแปลงเสมอ”
“ไม่ใช่ฝึกสติ เพื่อให้กายไม่ทุกข์นะครับ แต่ฝึกสติเพื่อให้เห็นความจริงว่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างมันทนอยู่สภาพเดิมนานๆ ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันบังคับไม่ได้ จะได้คลายความเห็นผิดว่าเป็นตัวเรา
จะได้ละความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา
จะได้รู้ความจริงแบบเข้าใจถูกและวางใจเป็น
จะได้ไม่ทุกข์กับมัน สิ่งทั้งหลายที่มันกำลังเกิดขึ้น
มันก็ทำตามหน้าที่ของใครของมันไป”
แม่พยักหน้า แล้วพูดว่า “มันก็จริงนะ”
“แม่คิดใหม่ซิครับว่า
ตอนนี้ยังไม่ตาย แม่ก็ขอยืมกายยืมใจฝึกสติก่อน
ตอนตายจะได้ตายไปกับสติ ดีมั้ยครับ”
เห็นรอยยิ้มของแม่แล้ว ก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย
นี่แหละหนามนุษย์เรา
รักตัวกลัวตาย
แต่ไยไม่ยักกะกลัวเกิดกันบ้างหนอ
มีเกิดมิใช่หรือ มันจึงมี แก่ เจ็บ
ตายในที่สุด
(จากหนังสือ สอนแม่ฝึกหัดปฏิบัติธรรม โดย ธีรยุทธ เวชเจริญยิ่ง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น