วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

พลิกล็อค

เล่าเรื่องโดย ชยสาโร ภิกขุ



          เกจิอาจารย์ท่านหนึ่งนั่งทางในเก่งมาก  จึงมีคนชอบไปให้ท่านดูว่า  ญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว บัดนี้เขาไปอยู่ที่ใด หญิงสาวคนหนึ่งมีพี่ชายเป็นพระซึ่งเพิ่งมรณภาพ  ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย  แม้โยมน้องสาวจะมั่นใจว่าท่านต้องไปเกิดบนสวรรค์แน่  แต่เธอก็ยังอยากจะได้ยินจากปากเกจิอาจารย์ว่า  หลวงพี่ของเธอไปเกิดที่ไหน เธอจึงไปเข้าคิวรอเพื่อจะสอบถามท่าน  คิวก่อนหน้าเธอเป็นญาติของคนขับรถแท็กซี่ที่เพิ่งเสียชีวิตไป  หลวงปู่บอกว่า คนขับรถแท็กซี่ขึ้นสวรรค์ชั้นดุสิตไปแล้ว ญาติๆ พากันดีใจ ร้องสาธุๆ แล้วลากลับไป  คราวนี้ก็ถึงคิวของเธอ เธอจึงบอกชื่อหลวงพี่ของเธอ

หญิงสาว“หลวงพี่ที่ตายไปเนี่ย  ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้วเจ้าคะ”
หลวงปู่     “ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ท่านไปดีแล้ว ท่านไปเกิดใหม่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาแน่ะ”
          หญิงสาวได้ยินดังนั้น เธอรู้สึกไม่พอใจและไม่เข้าใจว่าทำไมหลวงพี่ซึ่งบวชเป็นพระมาหลายปีจนเป็นพระผู้ใหญ่ ได้ไปเกิดแค่ในสวรรค์ชั้นแรก ขณะที่คนขับรถแท็กซี่ธรรมดาๆ กลับขึ้นสวรรค์ชั้นดุสิตซึ่งสูงกว่า

หญิงสาว“เอ๊ะ! เป็นไปไม่ได้ หลวงพี่เป็นพระผู้ใหญ่นะ ขนาดคนขับแท็กซี่ยังได้ไปตั้งชั้นดุสิตเล้ย”
หลวงปู่     “แต่ว่าค่าของคนน่ะอยู่ที่ผลของงานนะ”

หญิงสาว  “ไม่เข้าใจ  ท่านหมายความว่ายังไงเจ้าคะ”
หลวงปู่     “ขอพูดตรงๆ นะโยม พี่ชายของโยมน่ะ  บวชเป็นพระก็จริง  แถมยังเป็นเจ้าอาวาสด้วย  แต่ว่า...ท่าน                 เทศน์ทีไร  คนฟังนั่งหลับสัปหงกทุกที  เค้าก็เลยไม่ได้ฟังกัน  แล้วเวลาท่านเทศน์  ท่านชอบใช้ศัพท์บาลีเยอะทำให้เข้าใจยาก  คนฟังที่ไม่สัปหงกก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง พอท่านเทศน์จบ  คนฟังก็แค่ยกมือไหว้สาธุๆ เท่านั้นเอง  จึงได้ประโยชน์น้อย  ส่วนคนขับรถแท็กซี่น่ะ  เขารักษาศีลห้า  แล้วเขาก็ขับรถแย่มากๆ สวิงสวายสุดๆ จนผู้โดยสารทุกรายเกิดอาการหวาดเสียวกลัวตายไปตามๆ กัน  ต้องเจริญมรณานุสติไปตลอดทาง...ตายแน่ๆ... ตายแน่ๆ... บางคนถึงกับนั่งทบทวนชีวิตของตัวเองว่า  เรากำลังทำอะไรอยู่  เป็นบุญหรือเป็นบาป ถ้ารอดชีวิตไปได้ จะปรับปรุงแก้ไขชีวิตอย่างไรดี ซึ่งล้วนเป็นความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของผู้โดยสาร  ผลบุญจึงส่งให้เขาไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต”


          .....ญาติโยมที่ได้ฟังท่านอาจารย์เล่าพากันหัวเราะ  แล้วก็มีเสียงหนึ่งถามขึ้นว่า  “เรื่องที่ท่านอาจารย์เล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าเจ้าคะ”  ท่านอาจารย์ยิ้มก่อนจะตอบว่า  “อาตมารับรองไม่ได้หรอก เพราะไม่ได้อยู่ในเหตการณ์ แต่ข้อคิดที่เราควรจะได้จากเรื่องนี้มีว่า จะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่ได้ขึ้น  แล้วจะขึ้นชั้นสูงหรือชั้นต่ำ  อยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง ...นั่นแหละเรื่องจริงที่อาตมารับรองได้”


(จาก หนังสือเรื่องท่านเล่า  โดย ศรีอรา อิสสระ)

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

แก่ไม่อยากแก่

เล่าเรื่องโดย ชยสาโร ภิกขุ





          เมื่อท่านอาจารย์เดินทางกลับจากอเมริกา  ท่านเล่าว่ามีโยมผู้หญิงฝรั่งสูงอายุคนหนึ่งแต่งหน้าแต่งตาจัดเต็มที่  ทำผมทรงสูงๆ นุ่งมินิสเกิ๊ตสั้นกุ๊ด ดูแล้วน่าสลดสังเวช  ท่านจึงว่าคนบางคนชอบสู้ในสิ่งที่มนุษย์เราสู้ไม่ได้  ทำให้เหนื่อยเปล่า เสียทั้งกำลังกายกำลังใจและกำลังทรัพย์ คนที่คิดว่า “ข้าพเจ้าไม่ต้องการแก่ ข้าพเจ้าจะสู้เต็มที่เพื่อไม่ให้แก่”  และพยายามจะประกาศว่าฉันไม่แก่  ท่านว่าน่าสงสาร ยังไงๆ สุดท้ายเราก็ต้องแก่ จะเป็นแก่ที่ไม่ยอมรับว่าแก่ หรือแก่ที่ยอมรับว่าแก่ ก็ยังแก่อยู่วันยังค่ำ  ฉะนั้นทุกๆ เช้าท่านแนะให้ส่องกระจกแล้วบอกตัวเองว่า “เรามีความแก่เป็นธรรมดา  จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้”  และทุกๆ ครั้งที่เห็นผมหงอก ให้คิดว่า โอ้! พระพุทธเจ้าสอนจริงหนอๆ  ท่านว่าไม่ต้องไปย้อมให้เสียศักดิ์ศรีลูกศิษย์พระพุทธจ้าหรอก  จะได้เป็นเครื่องเตือนสติไม่ให้เราประมาท


(จาก หนังสือเรื่องท่านเล่า  โดย ศรีอรา อิสสระ)

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สวยเลิศในปฐพี

เล่าเรื่องโดย ชยสาโร ภิกขุ




          ท่านอาจารย์ปรารภกับลูกศิษย์ว่า  ท่านรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเวลาได้ยินพ่อแม่ปู่ย่าตายายชมลูกสาวหลานสาวว่าสวย  ท่านว่าการชมเด็กๆ ว่าสวยอยู่บ่อยๆ นั้น  มีส่วนส่งเสริมความเสื่อมสติปัญญาของสตรี  เด็กผู้หญิงสวยๆ ต้องได้ยินคำชมว่าสวยไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งกว่าจะเติบโตขึ้นมา  แม้เด็กผู้หญิงที่ไม่สวยก็ยังต้องทนฟังคำชมคนอื่น  แล้วยังเด็กผู้ชายที่ได้ยินคำชมเหล่านั้นอีกเล่า  มันเป็นการล้างสมองเด็กๆ ให้เข้าใจผิดว่า  คุณค่าชีวิตของผู้หญิงอยู่ที่หน้าตาและร่างกาย  ทำให้เกิดความหลงใหลในความสวยงาม
          ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์เล่าเรื่องพระนางเขมาแสนสวยผู้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์ในสมัยพุทธกาลในแนวสนุกๆ ว่า  พระนางหลงใหลในความสวยงามของตัวเองมาก  ต้องการจะเป็นคนที่สวยที่สุดเหมือนราชินีในเทพนิยายฝรั่งที่ส่องกระจกแล้วถามว่า  “Mirror! Mirror on the wall, who is the fairest of them all?...กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครสวยเลิศในปฐพี”  แต่ถ้ากระจกวิเศษกลับบอกว่า “สโนไวท์สวยเลิศในปฐพี”  พระนางจะทนไม่ได้ที่มีใครสวยกว่า  แม้พระนางจะสวยที่สุดในอินเดีย  ซึ่งอาจจะมีประชากรหลายล้านคนในยุคนั้น  แต่หากมีคนสวยกว่าพระนางเพียงคนเดียวในโลกนี้  พระนางก็รับไม่ได้
          พระเจ้าพิมพิสารพระสวามีเป็นพระโสดาบัน  และเป็นอัครอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า  ท่านไม่ค่อยปลื้มนักที่มเหสีของท่านเอาแต่หลงใหลในความสวยงามของตน  ไม่ยอมเข้าวัดเข้าวา  ชักชวนให้ไปด้วยทุกครั้งแต่พระนางก็ไม่ยอมไป  เพราะพระนางได้ยินข่าวว่า  พระพุทธเจ้าชอบสอนเรื่องอสุภะความไม่สวยไม่งาม  ซึ่งไม่ถูกจริตนิสัยของพระนาง
           พระเจ้าพิมพิสารพยายามคิดหาอุบายพามเหสีเข้าวัด ในที่สุดท่านคิดได้ว่าต้องใช้เรื่องความสวยความงามเป็นเครื่องล่อ  ท่านให้กวีเอกแต่งกลอนพรรณนาความสวยงามของเวฬุวนารามที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่  แล้วให้นักดนตรีแต่งเป็นเพลงไพเราะไปดีดพิณร้องให้พระนางเขมาฟัง  เมื่อได้ฟังเพลงนั้น  พระนางเกิดความรู้สึกอยากจะไปดูความสวยงามของเวฬุวนารามทันที  พระนางบอกพระสวามี  ซึ่งท่านก็รีบอนุญาต  แล้วท่านก็กระซิบกำชับมหาดเล็กให้หาทางพาพระมเหสีไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้จงได้
          ที่เวฬุวนาราม  พระนางเขมาเดินชมความงามของราชอุทยานโดยพยายามเลี่ยงไปให้ไกลจากเขตสงฆ์มากที่สุด  แต่มหาดเล็กก็พยายามหลอกล่อจนสุดความสามารถ  กึ่งเชิญชวนกึ่งบังคับให้พระนางเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าจนสำเร็จ  แม้พระนางไม่เต็มใจเลยก็ตาม
          เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นพระนางเขมาเดินเข้ามา  พระองค์ทรงเนรมิตหญิงงามขึ้นมาคนหนึ่ง  ซึ่งสวยงามชนิดหาที่เปรียบมิได้  พอพระนางเขมาเดินเข้ามา  สายตาพลันปะทะเข้าที่หญิงงาม  ท่านอาจารย์เล่าว่า  สมองของพระนางทำงานราวกับเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์สแกนข้อมูลทั้งหมด  ทั้งหน้าตา ผมเผ้า การแต่งกาย กิริยามารยาท ตึ๊ด!ตึ๊ด!ตึ๊ด!  ภายในเศษส่วนวินาที  พระนางก็ต้องทำใจยอมรับความจริงว่า  หญิงงามที่กำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยถวายงานพัดแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสวยงามกว่าพระนางมาก  โดยไม่ทราบว่านางงามคนนั้นเป็นเพียงสิ่งที่พระพุทธองค์เนรมิตขึ้นมาเพื่อให้บทเรียนแก่พระนางเท่านั้น  ดังนั้นพระนางจึงเกิดความอิจฉาขึ้นมาอย่างรุนแรง  ผู้หญิงคนนี้ทั้งสวยงามเลอเลิศ  ทั้งเข้าวัดก่อน  แล้วยังได้อุปัฏฐากใกล้ชิดถวายงานพัดแด่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นที่เคารพบูชาสูงสุดของพระเจ้าพิมพิสารและชาวกรุงราชคฤห์ทั้งหลาย
          เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบด้วยญานว่าพระนางเขมากำลังรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง  ก็ทรงเนรมิตให้หญิงงามคนนั้นค่อยๆ เปลี่ยนโฉมจากความงดงามอย่างสาวรุ่นที่เรียกว่าปฐมวัย  แก่ขึ้นๆ เข้าสู่วัยกลางคน  หรือมัชฌิมวัย  แล้วในที่สุดก็แก่ลงๆ เข้าสู่บั้นปลายชีวิตหรือปัจฉิมวัย  ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น ฟันฟางหักหมด หลังค่อม เดินไปด้วยความงกๆ เงิ่นๆ แล้วในที่สุดก็หมดลมตายอยู่ตรงนั้น
          ด้วยบุญบารมีที่เคยสั่งสมมาหลายภพหลายชาติ พระนางเขมาเห็นแล้วเกิดความสลดสังเวช เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร  จะสวยเลอเลิศขนาดไหนก็ต้องแก่ต้องตาย  นึกน้อมเข้ามาถึงตัวพระนางเองว่า  วันหนึ่งข้างหน้าก็จะหนีความแก่ความตายไม่พ้นเช่นกัน  ปัญญาจึงเกิดขึ้นและพระนางก็บรรลุโสดาบันในบัดนั้นเอง  ในที่สุดพระนางได้ออกบวชเป็นภิกษุณีและได้เป็นอัครสาวิกาฝ่ายขวา  ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญา  คู่กับพระสารีบุตร  ซึ่งเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวาผู้เลิศในทางปัญญา

          พระพุทธองค์ตรัสว่า  คนที่หลงความสวยความงามเหมือนแมงมุมที่ติดอยู่ในข่ายใหญ่ของตัวเอง  สร้างขึ้นมาเอง หลงเอง และทุกข์เอง


(จาก หนังสือเรื่องท่านเล่า  โดย ศรีอรา อิสสระ)

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ตามหาขงจื้อ

เล่าเรื่องโดย ชยสาโร ภิกขุ



         ที่เมืองจีนในช่วงฤดูร้อน  ครูคนหนึ่งมักจะชอบงีบหลับในตอนบ่าย  เขาสั่งให้เด็กนักเรียนเขียนเรียงความส่วนตัวเองก็นั่งหลับสัปหงก  พอตื่นขึ้นมาก็ทำไก๋ว่าตัวเองไม่ได้หลับ

          นักเรียน   "เมื่อกี้ตอนคุณครูหลับอยู่  ผม..............."
          ครู             "เฮ้ย! พูดอะไรอย่างน้าน.....ครูไม่ได้หลับซักกะหน่อย"
          นักเรียน   "อ้าว! แล้วถ้าคุณครูไม่ได้หลับ  คุณครูทำอะไรอยู่ล่ะครับ"
          ครู             "อย่าเอ็ดไปเชียว.....  ครูแอบขึ้นไปถกปรัชญากับขงจื้อบนสวรรค์น่ะ"

          บ่ายวันต่อมาอากาศร้อนอบอ้าว  เด็กนักเรียนคนหนึ่งเผลองีบหลับไป  ตัวครูเองตื่นขึ้นมาเห็นเด็กหลับก็ไม่พอใจ  รีบเขย่าตัวให้ตื่นและขู่ว่าจะทำโทษ

          เด็กรีบบอกครูทันทีว่า  "คุณครูครับ  ผมไม่ได้หลับนะครับ  ผมขึ้นไปบนสวรรค์ไปหาขงจื้อ  ผมเรียนท่านว่าผมเป็นลูกศิษย์คุณครูที่ขึ้นมาหาท่านเมื่อว่าน  แต่...ขงจื้อทำท่างงๆ นะครับ  ท่านว่า...เอ้!.....ครูอะไรเหรอ.....ไม่เห็นมีครูที่ไหนมานี่....."  มุขเด็ดนี้ทำเอาครูพูดไม่ออกไปเลย

          ท่านอาจารย์ว่าเด็กนักเรียนคนนี้ม่ไหวพริบปฏิภาณ  แต่ออกไปในทางมุสาวาท  ท่านให้เราฝึกคิด  คิดให้เร็ว  คิดให้ทันการ  แต่ขอให้คิดในทางที่เป็นกุศลนะ


(จาก หนังสือเรื่องท่านเล่า  โดย ศรีอรา อิสสระ)

เล่ห์กลการขาย

เล่าเรื่องโดย ชยสาโร ภิกขุ




          เจ้าของร้านขายนกในฮ่องกงวางกรงนกธรรมดาๆ ใส่นกธรรมดาๆ  ใส่นกธรรมดาๆ ไว้ที่บริเวณกระจกหน้าร้าน  สิ่งที่ไม่ธรรมดาในกรงนกนั้น คือ ภาชนะใส่น้ำสำหรับนก มันเป็นโบราณวัตถุสมัยราชวงศ์เหม็งราคาหลายหมื่นเหรียญฮ่องกง  คนที่เดินผ่านหน้าร้าน  ถ้าเป็นคนที่รู้จักคุณค่าของโบราณวัตถุเป็นต้องตาลุกวาว  ที่เห็นวัตถุสูงค่าเช่นนั้นอยู่ในกรงนกที่ทั้งกรงและทั้งนกดูแสนจะธรรมดาๆ ราคาถูกๆ กิเลสย่อมจะเกิดขึ้นได้ทันที  และจะนำพาบุคคลนั้นๆ เข้าไปในร้าน  เขาจะแกล้งถามเจ้าของร้านว่า  นกกรงนั้นราคาเท่าไหร่ เจ้าของร้านก็จะบอกราคาไม่ธรรมดา คือ ราคาแพงมากสำหรับนกธรรมดาๆ ชนิดนั้น  จนเขาตกใจ  แม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่า  ราคานกไม่ควรจะแพงขนาดนั้น  แต่ก็เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก  เขาคิดว่าเขาฉลาดคนเดียว  เจ้าของร้านคงไม่รู้คุณค่าของภาชนะใส่น้ำในกรงนกหรอก  เขาจะรีบตกลงซื้อนก  โดยไม่กล่าวถึงภาชนะใส่น้ำ  เจ้าของร้านก็จะยิ้มแล้วรีบไปหยิบกรงนกออกมาส่งให้คนซื้อ  แต่ไม่ลืมที่จะหยิบภาชนะใส่น้ำออกเสียก่อน

         ลูกค้า            "ไม่ต้องเอาออกหรอก  ถึงมันจะเก่าก็ไม่เป็นไร  ผมไม่ถือหรอก"
         เจ้าของร้าน  "คุณไม่ถือแต่ผมถือนี่ครับ  ภาชนะใบเนี้ย...ย น่ะ  สมัยราชวงศ์เหม็งเชียวนะครับ                                          ราคาตั้งหลายหมื่นดอลล่าร์แน่ะ"

          ท่านอาจารย์จึงว่า  นี่คือตัวอย่างหนึ่งของเล่ห์กลการขายที่อาศัยความอยากหรือตัณหาธรรมดาๆ ของมนุษย์  ความอยากทำให้เราคิดว่าเราฉลาดคนเดียว  จนลืมคิดไปว่าคนอื่นเขาอาจจะฉลาดกว่า


(จาก หนังสือเรื่องท่านเล่า  โดย ศรีอรา อิสสระ)

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หลวงพ่อทดสอบ

เล่าเรื่องโดย ชยสาโร ภิกขุ




          ท่านอาจารย์เล่าว่า  เมื่อบวชใหม่ๆ ท่านยึดติดในตัวหลวงพ่อชามาก  และหลวงพ่อก็ทราบเรื่องนี้ดี  ที่ท่านตั้งอกตั้งใจเรียนรู้ภาษาไทยอย่างรวดเร็วก็เพราะอยากจะเป็นพระอุปัฏฐาก  ท่านปรารถนาจะอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อ  ถ้าพูดภาษาไทยไม่เป็นก็คงหมดสิทธิ์  ออกพรรษาปีนั้น หลวงพ่อไปพักผ่อนที่วัดอีกวัดหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำ  ท่านอาจารย์ได้รับเลือกให้อยู่ในชุดอุปัฏฐากชุดแรก  ท่านดีใจมากที่ได้ไปอุปัฏฐากหลวงพ่อที่วัดนั้น  เพราะที่วัดป่าพงมีพระอุปัฏฐากเยอะนับสิบๆ รูป  แต่ที่นี่มีเพียงสามสี่รูปเท่านั้น  จึงได้อยู่กับหลวงพ่อตลอดเวลา  ท่านมีความสุขเหลือเกิน  นั่งถวายงานพัดบ้าง  นวดเท้าท่านบ้าง  ทำอะไรๆ ให้ท่านได้ทุกๆ อย่าง  บางทีหลวงพ่อยื่นฟันปลอมให้ไปล้าง  ท่านก็ภูมิใจมากที่ได้เป็นคนรับฟันปลอมหลวงพ่อมาล้าง  ตอนเช้าท่านรีบขึ้นไปที่ห้องหลวงพ่อ  อยากจะถึงกระโถนของท่านก่อนเพื่อน  ในกระโถนมีทั้งน้ำปัสสาวะ น้ำหมาก น้ำอะไรต่อมิอะไร  ท่านเล่าว่า  ท่านภูมิใจมากที่ได้ของดีไปล้าง

          บ่ายวันหนึ่งท่านเข้าไปที่ศาลา  เห็นหลวงพ่อกำลังครองผ้าเตรียมจะเดินทาง  ท่านคิดว่า  "แย่แล้ว! ครูบาอาจารย์จะไปไหนแล้ว  เราก็ยังไม่พร้อม  ยังไม่ได้เตรียมบริขารเลย"

          ท่านอาจารย์  "ขอโทษครับ  เดี๋ยวผมจะรีบไปเอาผ้าจีวร"
          หลวงพ่อ         "ไม่ต้อง!  ช้อน อยู่ที่นี่แล้ว"
          ท่านอาจารย์  "ฮะ?  ผมพร้อมแล้วครับ  ผมจะไปด้วยครับ"
          หลวงพ่อ         "ช้อนอยู่ที่นี่  อยู่ดูแลปู่ น."

          ปู่ น. นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นพระที่ดุมาก  ท่านเป็นหลวงตาที่แทบไม่เคยยิ้มเลย  ท่านอาจารย์ได้เรียนรู้สำนวนไทยที่ว่า "เอาใจยาก"  ก็ตอนนี้แหละ  เวลาใครๆ พูดถึงพระองค์นี้ก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  "ปู่ น. นี่เอาใจยาก"  หลวงพ่อชาสั่งให้ท่านอาจารย์อยูดูแลหลวงปู่ น. แล้วหลวงพ่อก็จากไป

          หน้าที่ที่ต้องอุปัฏฐากหลวงปู่ น. ก็เหมือนกับที่เคยทำถวายหลวงพ่อชา  แต่ความรู้สึกมันช่างไม่เหมือนกันเสียเลย  กระโถนก็มีน้ำปัสสาวะน้ำหมากเหมือนกัน  แต่ทำไมน้ำปัสสาวะของหลวงพ่อชาน่ารัก  น้ำปัสสาวะของหลวงปู่ น.  นี่น่าเกลียด  ท่านต้องกัดฟันอดทนเพราะเห็นว่าหลวงพ่อกำลังทอสอบ  ท่านจึงตั้งใจทำแล้วก็ได้ความรู้มากมาย  ตอนกลางคืนท่านต้องไปชงน้ำร้อนให้หลวงปู่แล้วเดินนวดเหยียบหลังให้ทุกคืน  หลวงปู่จะเล่าอะไรๆ จากพระไตรปิฎกให้ท่านฟัง  เคี้ยวหมากไปด้วยเล่าไปด้วย  หลวงปู่พูดภาษาลาวซึ่งท่านฟังออกบ้างฟังไม่ออกบ้าง  คืนหนึ่งหลวงปู่เล่าเรื่องพระรัฐบาลอย่างละเอียด  ท่านได้ยินคำว่า รัฐบาลๆๆ หลายๆ ทีเข้า  ก็คิดตำหนิหลวงปู่ในใจว่า  ท่านประพฤติองค์ไม่เหมาะสมเลย เป็นพระแท้ๆ กลับมานอนพูดเรื่องการเมืองซึ่งเป็นเรื่องทางโลกทั้งคืน  ท่านมาทราบภายหลังว่า  ที่แท้หลวงปู่กำลังเล่าถึงประวัติของพระมหาสาวกองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้า ชื่อ พระรัฐบาล

          อย่างไรก็ตาม  ตลอดเวลาที่อยู่กับหลวงปู่  แม้จะฟังท่านพูดไม่ค่อยเข้าใจ ท่านอาจารย์ก็ตั้งใจอดทนฟังอย่างเต็มที่ แถมยังพูดจาเออออ  "โด่ยๆ ขะน้อย"  ไปเรื่อยๆ ทำให้หลวงปู่มีความสุขมาก  หลวงปู่ท่านเหงาเพราะไม่ค่อยมีใครยอมอยู่กับท่าน  นอกจากผู้ที่หลวงพ่อส่งไป  และถึงหลวงพ่อจะส่งไป  พระก็จะหนีไปภายในเวลาไม่กี่วัน  เพราะใครๆ ก็ว่าหลวงปู่ น. องค์นี้เอาใจยากกก...มากกก... ท่านอาจารย์เล่าว่า  ท่านก็มีมานะและอัตตาว่า  "พระองค์อื่นๆ อยู่ไม่กี่วันก็หนี  แต่เราจะไม่หนี"  แล้วท่านก็ตั้งอกตั้งใจพยายามอุปัฏฐากหลวงปู่เต็มที่อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน  หลวงปู่จึงรักท่านเหมือนลูกชาย  ท่านอาจารย์เองก็ได้ทำประโยชน์แก่พระผู้ใหญ่

          ท่านเล่าว่า  วัดนั้นเงียบสงบดี  ท่านท่องปาฏิโมกข์ขึ้นใจได้ที่นั่น  ซึ่งสำหรับพระแล้ว  ถ้าได้ "ปาฏิโมกข์" ที่ไหน  ก็จะจดจำท่นั่นได้ตลอดชีวิต  ท่านอยู่ที่วัดนั้นกับหลวงปู่ น. หลายเดือน  จึงได้กลับไปอยู่วัดป่าพง  ถ้าจิตใจของท่านฝืนและปรุงแต่งด้วยความไม่พอใจ  ด้วยความคิดถึงหลวงพ่อชา  และความไม่อยากอยู่ที่วัดนั้น  มันจะเป็นการทรมานจิตใจไปเปล่าๆ เมื่อหลวงพ่อให้อยู่ที่นี่  ท่านก็ตั้งใจจะให้ได้กำไรจากการอยู่ที่นี่  ท่านต้องสร้างประโยชน์ให้ได้  ถ้ากายอยู่ที่นี่แต่ใจมัวไปคิดถึงที่อื่น  มันย่อมเป็นการไม่ฉลาดโดยแท้


(จาก หนังสือเรื่องท่านเล่า  โดย ศรีอรา อิสสระ)

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เมตตาขาเป๋

เล่าเรื่องโดย ชยสาโร ภิกขุ




          เรื่องนี้เกิดที่อเมริกา  เด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านขายสัตว์เลี้ยง

          เด็ก                 "ผมอยากได้ลูกหมา  ลูกหมาราคาตัวละซักเท่าไหร่ครับ"

          เจ้าของร้าน    "สามสิบ ถึง ห้าสิบดอลล่าร์  หนูมีเงินเท่าไหร่ล่ะ"

          เจ้าของร้านเห็นเด็กน่าเอ็นดู  จึงปล่อยแม่หมาออกมาจากกรง  มีลูกๆ วิ่งตามออกมาสี่ตัว  วิ่งเล่นกันดูน่ารักมาก  สักพักก็มีลูกหมาอีกตัวค่อยๆ ออกมาช้าๆ ดูน่าสงสาร  เด็กคนนั้นชี้ลูกหมาตัวน้อยนั้น

          เด็ก                "ผมจะเอาตัวนั้น  ตัวสุดท้ายนั่นแหละ  ราคาเท่าไหร่ครับ"

          เจ้าของร้าน   "ตัวนั้นอย่าเอาเลย  มันพิการ  เลี้ยงยากนะ  เล่นไม่สนุกหรอก  แต่ถ้าจะเอาตัวนั้นจริงๆ ก็จะยกให้ฟรีๆ เลย"

          เด็กน้อยไม่พอใจ  "ผมมีเงิน  ผมอยากจ่ายเงินซื้อมัน  อย่าไปดูถูกมันเลยครับ  มันก็มีค่าเท่ากับพี่ๆของมัน  ผมจะดาวน์สองดอลล่าร์สามสิบเจ็ดเซนต์  แล้วจะขอผ่อนอาทิตย์ละห้าสิบเซนต์"

          เจ้าของร้าน    "งั้นเลือกเอาตัวอื่นดีกว่า  ตัวนี้มันวิ่งไม่ได้  เล่นไม่สนุกหรอก"

          เด็กชายมองหน้าเจ้าของร้าน  แล้วเขาก็ดึงขากางเกงขึ้นมา  ขาของเขาก็เป็นเหมือนกัน

          เด็ก                   "ผมว่าลูกหมาตัวนี้  มันคงต้องการเจ้าของที่จะเข้าใจมัน  ผมขอตัวนี้เถอะครับ"

          นี่แหละคือความเมตตา

          ท่านอาจารย์ว่า  การที่เด็กชายคนนั้นเห็นใจและรักลูกหมาตัวนั้น  เพราะเขารู้สึกว่ามันเหมือนกับเขา  หมาก็ขาเป๋ไม่มีใครรักและให้ความสำคัญ  ตัวเขาก็เหมือนกัน  มันน่าจะไปด้วยกันได้

          ท่านสอนต่อว่า  หากเราสามารถมองเห็นว่า  คนอื่นหรือสัตว์อื่นมีอะไรๆ เหมือนๆ กับเรา  ความเมตตาจะเกิดทันที  ฉะนั้น  การที่เราพิจารณาว่า  ทุกคนในโลกนี้ล้วนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ทุกคนในโลกนี้ไม่ต้องการความทุกข์แม้เพียงนิดเดียว  และทุกคนต้องการความสุขแค่นิดเดียวก็ยังเอา  ฉะนั้นเราเหมือนกัน  ความซาบซึ้งในข้อที่เราเหมือนกันนั่นแหละจะทำให้ความเมตตาเกิดขึ้น




(จาก หนังสือเรื่องท่านเล่า  โดย ศรีอรา อิสสระ)